ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงปี 2566-2567 เผชิญกับแรงกดดันหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อที่ยังคงสร้างความท้าทาย หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคหดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้จะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวในบางเซกเมนต์ แต่ภาพรวมยังคงเป็นไปอย่างระมัดระวัง ผู้ประกอบการหลายรายต้องปรับแผนการดำเนินงาน ลดการเปิดตัวโครงการใหม่ และหันมามุ่งเน้นการระบายสต็อกที่มีอยู่ ขณะที่บริษัทที่มีความแข็งแกร่งทางการเงินและมีความยืดหยุ่นสูงเท่านั้นที่สามารถประคองตัวและสร้างการเติบโตได้ ทว่าสำหรับปี 2568 นี้ เรากำลังมองเห็นสัญญาณของการปรับสมดุลและโอกาสใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น
ภูมิทัศน์เศรษฐกิจมหภาคและปัจจัยขับเคลื่อนตลาดอสังหาฯ ปี 2568
การทำความเข้าใจปัจจัยมหภาคถือเป็นหัวใจสำคัญในการคาดการณ์ทิศทางของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้จะอยู่ในอัตราที่ค่อนข้างต่ำ แต่ก็เป็นไปในทิศทางที่ค่อย ๆ ดีขึ้น โดยมีแรงหนุนหลักจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกที่เริ่มส่งสัญญาณบวก อย่างไรก็ตาม ความท้าทายจากอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ จะยังคงเป็นแรงกดดันต่อต้นทุนทางการเงินทั้งของผู้ประกอบการและผู้ซื้อบ้าน ส่งผลให้การขอสินเชื่อบ้านอาจยังคงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตาคือเรื่องของ “หนี้ครัวเรือน” ซึ่งยังคงเป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค การที่ประชาชนมีภาระหนี้สูง ทำให้ความสามารถในการกู้ซื้อบ้านลดลง และธนาคารพาณิชย์เองก็เพิ่มความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์การตลาดและนำเสนอโครงการที่ตอบโจทย์กำลังซื้อที่จำกัดมากขึ้น หรือเน้นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงและไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยเหล่านี้มากนัก

นโยบายภาครัฐจะมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นและสนับสนุนตลาดอสังหาริมทรัพย์ รัฐบาลชุดปัจจุบันให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายและโครงข่ายคมนาคมต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการขยายตัวของเมืองและพื้นที่ศักยภาพใหม่ ๆ ตามแนวเส้นทาง การลงทุนเหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มมูลค่าที่ดิน แต่ยังสร้างความต้องการที่อยู่อาศัยและพื้นที่เชิงพาณิชย์ในบริเวณใกล้เคียง นอกจากนี้ นโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ การสนับสนุนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สีเขียว และมาตรการลดหย่อนภาษีบางประการ อาจเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญสำหรับ “อสังหาริมทรัพย์ 2568”
ภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวกลับมาอย่างแข็งแกร่งตั้งแต่ปี 2567 จะยังคงเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในปี 2568 การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีนและประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง ส่งผลดีต่อตลาด “คอนโดมิเนียม” เพื่อการลงทุนปล่อยเช่าระยะสั้นในแหล่งท่องเที่ยวหลัก รวมถึงอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และพื้นที่ค้าปลีก การลงทุนจากต่างชาติในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม “คอนโดมิเนียมหรู” และ “อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์” ในทำเลทอง ซึ่งถือเป็น “อสังหาริมทรัพย์ทำเงิน” ที่น่าจับตา
สุดท้าย เทคโนโลยีและประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม (ESG) กำลังกลายเป็นปัจจัยที่ไม่อาจมองข้าม “PropTech” หรือเทคโนโลยีอสังหาริมทรัพย์จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการขับเคลื่อนประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า ตั้งแต่การใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลตลาด การใช้ VR/AR ในการนำเสนอโครงการ ไปจนถึงการบริหารจัดการอาคารอัจฉริยะ (Smart Building) ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคและนักลงทุนยุคใหม่ให้ความสำคัญกับ “อสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน” และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ผู้ประกอบการที่สามารถผสานแนวคิด ESG เข้ากับการพัฒนาโครงการ จะได้เปรียบในการแข่งขันอย่างชัดเจน
การวิเคราะห์เชิงลึก: กลยุทธ์ผู้พัฒนาอสังหาฯ ในปี 2568
การปรับตัวและวางกลยุทธ์อย่างชาญฉลาดคือหัวใจสำคัญของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จะประสบความสำเร็จในปี 2568 จากบทเรียนในปีที่ผ่านมา เราเห็นว่าบริษัทที่สามารถสร้างรายได้อย่างหลากหลายและบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ มักจะเป็นผู้ที่ยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่ง
การปรับโครงสร้างรายได้และยอดขายเพื่อความยั่งยืน:
ผู้ประกอบการไม่สามารถพึ่งพารายได้จากการขายที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป กลยุทธ์ “การลงทุนอสังหา” ที่จะตอบโจทย์คือการกระจายความเสี่ยงและสร้างแหล่งรายได้ที่มั่นคงจากหลากหลายช่องทาง อาทิเช่น:
โครงการแบบมิกซ์ยูส (Mixed-Use Development): การพัฒนาโครงการที่รวมที่อยู่อาศัย พื้นที่ค้าปลีก สำนักงาน และโรงแรมเข้าไว้ด้วยกัน จะช่วยสร้างกระแสเงินสดจากค่าเช่าและค่าบริการอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการโดยรวม
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า: การพัฒนา “คอนโดมิเนียมให้เช่า” หรือ “อพาร์ตเมนต์ให้เช่า” ที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้เช่าทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะในทำเลที่เข้าถึงง่ายและใกล้แหล่งงานหรือสถานศึกษา จะเป็นแหล่งรายได้ที่สม่ำเสมอ
โลจิสติกส์และคลังสินค้า: ตลาด E-commerce ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ทำให้ความต้องการพื้นที่คลังสินค้าและโลจิสติกส์เพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเซกเมนต์ที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการ
บริการเสริมและไลฟ์สไตล์: การนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ “Smart Living” และ Well-being เช่น โครงการที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน สุขภาพกายใจ รวมถึงบริการหลังการขายที่เหนือกว่า เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างความแตกต่างให้กับโครงการ
สำหรับกลยุทธ์ “การขาย” ในปี 2568 จะต้องมีความแม่นยำและมุ่งเป้ามากขึ้น การใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย (Data-Driven Marketing) จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถนำเสนอโครงการที่ตรงใจลูกค้ามากที่สุด รวมถึงการสร้างประสบการณ์การซื้อที่เป็นส่วนตัว (Personalized Experience) และการใช้ช่องทางดิจิทัลในการเข้าถึงลูกค้า (Online Sales Channels) ที่หลากหลายขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่า “โครงการบ้านจัดสรร” หรือ “คอนโดมิเนียม” จะสามารถสร้างยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บริษัทชั้นนำหลายแห่ง เช่น AP (Thailand) ซึ่งมีชื่อเสียงด้านความสามารถในการขายและเข้าใจความต้องการของตลาด หรือ Sansiri ที่มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ต่างก็กำลังปรับกลยุทธ์สู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมและบริการที่เหนือกว่า เพื่อดึงดูดกำลังซื้อที่ยังคงระมัดระวังใน “ตลาดที่อยู่อาศัย” ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความสำคัญของการทำความเข้าใจและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง
การสร้างผลกำไรที่ยั่งยืนผ่านการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ:
ในสภาวะตลาดที่มีความผันผวน การสร้างรายได้สูงเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ หากไม่สามารถควบคุมต้นทุนและสร้าง “กำไรสุทธิ” ที่แข็งแกร่งได้ ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในปี 2568 จะต้องให้ความสำคัญกับ:
การบริหารจัดการต้นทุนอย่างเข้มงวด: ตั้งแต่การจัดซื้อจัดจ้างที่มีประสิทธิภาพ การเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่คุ้มค่า ไปจนถึงการบริหารจัดการแรงงานและกระบวนการก่อสร้างที่ได้มาตรฐาน เพื่อลดความสูญเสียและเพิ่มประสิทธิภาพ
การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Operational Efficiency): การนำระบบ ERP, BIM (Building Information Modeling) และ IoT มาใช้ในการบริหารจัดการโครงการและอาคาร จะช่วยลดข้อผิดพลาด ลดเวลา และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอย่างเห็นได้ชัด
การจัดการพอร์ตสินทรัพย์อย่างมีกลยุทธ์ (Strategic Asset Management): การประเมินมูลค่าสินทรัพย์อย่างสม่ำเสมอ การขายสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Core Assets) หรือการปรับปรุงสินทรัพย์เดิมเพื่อเพิ่มมูลค่า (Asset Enhancement) จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องและสร้างผลตอบแทนที่ดี
ความรอบคอบทางการเงิน: การบริหารจัดการหนี้สิน การจัดหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลายและมีต้นทุนต่ำ รวมถึงการรักษาวินัยทางการเงิน จะเป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงที่สำคัญ การที่บริษัทขนาดใหญ่อย่าง Land & Houses ยังคงรักษาความเป็นผู้นำด้านกำไรแม้รายได้รวมจะลดลงในปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการต้นทุนและสินทรัพย์อย่างชาญฉลาด รวมถึงการสร้างรายได้จากช่องทางอื่น ๆ ที่ช่วยหนุนเสริม
ผู้นำตลาดกับการปรับตัวสู่ยุคใหม่:
บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ไม่ว่าจะเป็น Supalai, SC Asset, Pruksa Holding, Origin Property หรือ Central Pattana ต่างก็กำลังเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความท้าทายและคว้าโอกาสใหม่ ๆ ในปี 2568
การเน้นคุณภาพและนวัตกรรม: การพัฒนาโครงการที่โดดเด่นด้วยคุณภาพ ดีไซน์ และนวัตกรรม จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มและดึงดูดลูกค้าที่มองหาความเป็นเลิศ
การสร้างความแตกต่างผ่านประสบการณ์ลูกค้า: การมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกซื้อ การเข้าอยู่อาศัย ไปจนถึงบริการหลังการขาย จะช่วยสร้างความผูกพันกับแบรนด์
การลงทุนในเทคโนโลยีและข้อมูล: บริษัทที่ลงทุนในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และเทคโนโลยี “PropTech” จะสามารถเข้าใจตลาดและลูกค้าได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทำให้ตัดสินใจได้รวดเร็วและแม่นยำ
การมุ่งเน้น ESG และความยั่งยืน: การผนวกหลักการ ESG เข้ากับการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนา “อสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน” การใช้พลังงานทางเลือก หรือการมีส่วนร่วมกับชุมชน จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนและผู้บริโภคที่ใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
บริษัทอย่าง Central Pattana ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทใน “ตลาดที่อยู่อาศัย” มากขึ้น พร้อมกับการใช้จุดแข็งด้านการพัฒนาศูนย์การค้า จะเป็นตัวอย่างของการสร้าง Synergy และการเติบโตแบบก้าวกระโดด ในขณะที่บริษัทที่เคยเผชิญกับภาวะขาดทุนต่อเนื่องจากปีโควิด-19 เช่น L.P.N. Development หรือ Raimon Land กำลังอยู่ในช่วงของการปรับโครงสร้างองค์กรและแผนธุรกิจเพื่อฟื้นตัวและกลับมาแข่งขันได้อีกครั้ง
เทรนด์สำคัญที่ Shaping ตลาดอสังหาฯ 2568
นอกเหนือจากกลยุทธ์ของผู้ประกอบการแล้ว ยังมีเทรนด์สำคัญระดับโลกที่กำลังขับเคลื่อนและกำหนดทิศทางของ “ตลาดอสังหา” ในปี 2568:
Smart Living และการผสาน PropTech: ความต้องการบ้านอัจฉริยะ (Smart Home) ระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ และการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องนำ “ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันอสังหา” มาใช้เพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านี้
Well-being และ Sustainable Development: ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพกายและใจมากขึ้น โครงการที่มีพื้นที่สีเขียว การออกแบบที่ส่งเสริมการถ่ายเทอากาศ แสงธรรมชาติ และการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ การรับรองมาตรฐานอาคารเขียว (Green Building Certifications) จะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ “อสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน”
ความยืดหยุ่นและพื้นที่ใช้งานแบบไฮบริด: แนวคิด Co-living และ Co-working Spaces ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันที่อยู่อาศัยเองก็ต้องมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้งาน เพื่อรองรับวิถีชีวิตแบบ Work From Home หรือ Hybrid Work
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร: การเข้าสู่สังคมสูงวัยของประเทศไทยจะสร้างความต้องการที่อยู่อาศัยที่ออกแบบมาสำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ (Aging-in-Place) ขณะที่กลุ่ม Gen Z และผู้ที่เริ่มต้นสร้างครอบครัวอาจมองหา “คอนโดมิเนียม” หรือ “ทาวน์โฮม” ขนาดกะทัดรัดในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น
ความท้าทายด้าน Affordable Housing: แม้ราคาที่ดินจะสูงขึ้น แต่ความต้องการที่อยู่อาศัยราคาไม่แพงยังคงมีอยู่สูง ผู้ประกอบการจะต้องคิดค้นโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ หรือใช้เทคโนโลยีการก่อสร้างแบบโมดูลาร์ (Modular Construction) เพื่อลดต้นทุนและสร้างที่อยู่อาศัยที่จับต้องได้
มุมมองนักลงทุนและผู้ซื้อบ้านในปี 2568
สำหรับ “นักลงทุนอสังหา” ปี 2568 เป็นปีที่ต้องใช้ความระมัดระวังแต่ก็เต็มไปด้วยโอกาส นักลงทุนควรพิจารณา:
ทำเลที่ตั้งและศักยภาพในอนาคต: โครงการตามแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย หรือในพื้นที่ที่มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ยังคงเป็นทำเลที่น่าจับตา
ผู้พัฒนาที่มีชื่อเสียงและความมั่นคง: การเลือก “ลงทุนอสังหา” กับบริษัทที่มีประวัติผลงานดี มีความมั่นคงทางการเงิน และมีธรรมาภิบาล จะช่วยลดความเสี่ยง
ผลตอบแทนจากค่าเช่าและมูลค่าเพิ่มในระยะยาว: การมองหา “อสังหาริมทรัพย์ให้เช่า” ที่มีอัตราผลตอบแทนค่าเช่าที่สมเหตุสมผล และมีแนวโน้มที่มูลค่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต
ความสอดคล้องกับเทรนด์ ESG: นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่เริ่มให้ความสำคัญกับโครงการที่ยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นปัจจัยกำหนดราคาในอนาคต
สำหรับ “ผู้ซื้อบ้าน” ปี 2568 เป็นจังหวะที่ต้องใช้ความรอบคอบในการตัดสินใจ การศึกษาข้อมูล “สินเชื่อบ้าน 2568” และเปรียบเทียบเงื่อนไขต่าง ๆ อย่างละเอียดเป็นสิ่งสำคัญ ควรพิจารณา:
ความคุ้มค่าและฟังก์ชันการใช้งาน: เลือกที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และงบประมาณอย่างแท้จริง โดยเน้นฟังก์ชันการใช้งานที่ยืดหยุ่นและมีคุณภาพ
ทำเลและการเดินทาง: เลือกทำเลที่เชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะได้สะดวก หรือใกล้แหล่งงาน โรงเรียน และสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น
ชื่อเสียงของโครงการและผู้พัฒนา: ความน่าเชื่อถือของบริษัทและการบริการหลังการขายเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
ศักยภาพในการปรับตัวในอนาคต: พิจารณาโครงการที่มีการออกแบบที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต
สรุปและคำเชิญชวน
ปี 2568 จะเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ความแข็งแกร่งและความสามารถในการปรับตัวของวงการ “อสังหาริมทรัพย์ไทย” ผู้ประกอบการที่สามารถถอดบทเรียนจากอดีต เข้าใจพลวัตของตลาดในปัจจุบัน และมองเห็นโอกาสในอนาคต พร้อมทั้งนำกลยุทธ์ที่หลากหลายและนวัตกรรมมาใช้ จะเป็นผู้คว้าชัยชนะในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมเชื่อมั่นว่าโอกาสยังคงมีอยู่มากมายสำหรับผู้ที่พร้อมจะเรียนรู้ ปรับตัว และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่ซับซ้อนของผู้บริโภคและนักลงทุน หากท่านต้องการคำแนะนำเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับการ “ลงทุนอสังหา” การวางกลยุทธ์การพัฒนาโครงการ หรือเพียงแค่ต้องการข้อมูลเชิงลึก “แนวโน้มอสังหาริมทรัพย์” เพื่อการตัดสินใจที่ดีที่สุดใน “อสังหาริมทรัพย์ 2568” อย่าลังเลที่จะติดต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำปรึกษาเฉพาะทาง หรือเข้าร่วมสัมมนาและเวิร์กช็อปของเรา เพื่อเตรียมความพร้อมและคว้าโอกาสใน “ตลาดอสังหา” ที่กำลังเปลี่ยนผ่านนี้ไปด้วยกัน
