รวบผัว-เมียชาวกัมพูชา เป็นสายลับขี่รถ จยย. ตระเวนถ่ายเส้นทางจากด่านเขาล้านมาถึงบ้านชำราก จ.ตราด อ้างญาติจะเดินทางมา แต่มาไม่ถูก ถึงถ่ายเส้นทางให้ดู จนท.คุมตัวดำเนินคดีฐานไส้ศึกเผยแพร่ข้อมูลของฝ่ายความมั่นคง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลาประมาณ 12.30 น. วันที่ 11 ธ.ค. 68 ที่ผ่านมา นายภิญโญ ดีหลาย กำนันตำบลชำราก พร้อมผู้ช่วยและเจ้าหน้าที่ทหาร ร่วมกันจับกุมสองสามีภรรยาชาวกัมพูชา ที่บ้านชำราก ต.ชำราก อ.เมือง ตราด จ.ตราด ขณะขี่รถจักรยานยนต์ ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายเส้นทางถนนสาย 3 ตราด-คลองใหญ่ โดยตระเวนถ่ายมาจากด่านเขาล้าน ศูนย์ราชการุณย์สภากาชาดไทยเขาล้าน มุ่งหน้าเข้าตัวเมืองตราด แต่มาถูกจ้าหน้าที่ทหารและฝ่ายปกครองจับกุมตัวได้ ก่อนจะแจ้งสายตรวจ สภ.บ้านท่าเลื่อน มาควบคุมตัวไปสอบปากคำที่ สภ.บ้านท่าเลื่อน
ปี 2567: บทสรุปผลประกอบการบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ไทย – กลยุทธ์เพื่อฝ่าฟันความท้าทาย
ในฐานะนักวิเคราะห์และที่ปรึกษาในวงการอสังหาริมทรัพย์มากว่าทศวรรษ ผมได้สังเกตเห็นถึงพลวัตที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในตลาด อสังหาริมทรัพย์ประเทศไทย ปี 2566 ที่ผ่านมานั้น ถือเป็นปีแห่งความท้าทายอย่างแท้จริง แม้จะมีความคาดหวังว่าตลาดจะฟื้นตัวตามโมเมนตัมที่ดีจากปี 2565 แต่ความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม ภาคอสังหาริมทรัพย์ได้เข้าสู่ช่วงชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ และต่อเนื่องมาจนถึงปลายปี แม้แต่ช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 4 ก็ยังไม่สามารถกระตุ้นยอดขายได้ตามที่คาดหวัง ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุน อสังหาริมทรัพย์ไทย ในปี 2567 ยังคงอึมครึม ไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมามากนัก
เพื่อทำความเข้าใจภาพรวมของตลาดอย่างลึกซึ้ง Property Mentor ได้รวบรวมข้อมูลทางการเงินของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น 41 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อประเมินผลการดำเนินงานในปี 2566 ว่าแต่ละบริษัทสามารถปรับตัวและรับมือกับสภาวะตลาดที่ผันผวนนี้ได้อย่างไร และใครคือผู้ที่สามารถยืนหยัดและสร้างผลกำไรได้อย่างโดดเด่นท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้
ภาพรวมรายได้รวม: ความท้าทายที่มองข้ามไม่ได้
ในปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 41 แห่ง สามารถสร้างรายได้รวมกันทั้งสิ้นกว่า 371,560 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลดลงเล็กน้อยประมาณ 1.2% เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่ทำรายได้รวมไป 376,141 ล้านบาท แม้ตัวเลขรวมจะดูไม่ห่างกันมากนัก แต่เมื่อเจาะลึกรายบริษัท จะพบว่าน่าเป็นห่วงว่ามีถึง 25 จาก 41 บริษัท ที่มีรายได้รวมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

หลายบริษัทต้องเผชิญกับการปรับตัวลดลงของรายได้อย่างมาก บางรายติดลบมากกว่า 20% ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ L.P.N. Development (LPN), Eastern Star Real Estate (ESTAR) และ Country Group Development (CGD) ที่มีรายได้รวมลดลงถึงราวๆ -28% ตามมาด้วย Raimon Land (RML) ที่ -26%, Lalin Property (LPH) ที่ -23%, Major Development (MD) ที่ -22% และ Siamese Asset (SA) ที่ -21%
แม้แต่บริษัทขนาดใหญ่อย่าง Land and Houses (LH) ก็ยังมีรายได้รวมลดลงถึง -18% สิ่งที่น่าสังเกตคือ ในกลุ่ม Top 10 บริษัทที่ทำรายได้รวมสูงสุดในปี 2566 มีถึง 5 บริษัท ที่มีรายได้รวมลดลงจากปีก่อนหน้า นอกจาก Land and Houses แล้ว ยังมี AP Thailand (AP) ที่รายได้ลดลงเล็กน้อยไม่ถึง -1%, Supalai (SPALI) -10%, Pruksa Holding (PSH) -9% และ Origin Property (ORI) ที่รายได้รวมลดลงประมาณ -4%
แสนสิริ แชมป์รายได้รวม 39,082 ล้านบาท แต่ AP Thailand คือผู้นำด้านรายได้จากการขาย
เมื่อพิจารณา 10 อันดับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ทำรายได้รวมสูงสุดในปี 2566 พบว่า:
แสนสิริ (SIRI): 39,082 ล้านบาท (โต 12%)
เอพี (ไทยแลนด์) (AP): 38,399 ล้านบาท
ศุภาลัย (SPALI): 31,818 ล้านบาท
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH): 30,170 ล้านบาท
พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH): 26,132 ล้านบาท
เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC): 24,487 ล้านบาท
ยูนิเวนเจอร์ (UV): 17,672 ล้านบาท
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) (FPT): 16,169 ล้านบาท
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI): 15,157 ล้านบาท
สิงห์ เอสเตท (S): 15,066 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การวัดผลประกอบการที่แท้จริงจำเป็นต้องพิจารณา รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ เป็นหลัก เนื่องจากหลายบริษัทใน Top 10 รายได้รวม อาจมีรายได้จากแหล่งอื่นมาเสริม หากพิจารณาเฉพาะรายได้จากการขาย รูปแบบอันดับและผลประกอบการก็จะมีความแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
รายได้จากการขาย: ตัวชี้วัดผลการดำเนินงานหลัก
เมื่อรวมรายได้จากการขายของทั้ง 41 บริษัท พบว่าอยู่ที่ 268,460 ล้านบาท ลดลงประมาณ 11% เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่ทำรายได้จากการขายไป 299,979 ล้านบาท และมีถึง 30 จาก 41 บริษัท ที่รายได้จากการขายลดลงจากปีก่อนหน้า
หลายบริษัทเผชิญกับสถานการณ์รายได้จากการขายที่น่ากังวล เช่น Raimon Land (RML) ที่รายได้จากการขายตกลงถึง -78%, L.P.N. Development (LPN) -40% และที่น่าตกใจคือ Land and Houses (LH) ที่รายได้จากการขายลดลงถึง -38% แม้แต่ AP Thailand (AP) ผู้นำในกลุ่มรายได้จากการขาย ก็ยังมีรายได้จากการขายลดลงเล็กน้อยที่ -2% และในกลุ่ม Top 10 บริษัทที่มีรายได้จากการขายสูงสุดถึง 8 บริษัท มีรายได้จากการขายลดลงจากปี 2565
AP Thailand ผงาดขึ้นเป็นเบอร์ 1 ด้านรายได้จากการขาย
สำหรับ 10 อันดับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ทำรายได้จากการขายสูงสุดในปี 2566 มีดังนี้:
เอพี (ไทยแลนด์) (AP): 36,927 ล้านบาท
แสนสิริ (SIRI): 32,829 ล้านบาท (โต 7%)
ศุภาลัย (SPALI): 30,836 ล้านบาท
เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC): 23,370 ล้านบาท (โต 13%)
พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH): 22,357 ล้านบาท
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH): 18,966 ล้านบาท
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) (FPT): 10,019 ล้านบาท
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI): 8,840 ล้านบาท (ลดลง -24%)
ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QH): 7,619 ล้านบาท
พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (PF): 7,171 ล้านบาท
อีกหนึ่งบริษัทที่น่าจับตามองคือ Central Pattana (CPN) ซึ่งเริ่มเห็นผลจากการลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายอย่างจริงจัง ในปี 2566 CPN สามารถสร้างรายได้จากการขายได้ 5,835 ล้านบาท เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 103% จากปีก่อนหน้า
กำไรสุทธิ: ตัวชี้วัดสำคัญสู่ความยั่งยืน
ท้ายที่สุดแล้ว แม้จะมียอดขายที่สูง แต่หากมีกำไรสุทธิที่น้อย หรือไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลกำไรเข้ากระเป๋าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ย่อมไม่ใช่ผู้ชนะที่แท้จริง ในปี 2566 บริษัททั้ง 41 แห่ง ทำกำไรสุทธิรวมกันได้ 44,165 ล้านบาท ลดลง -11% จากปี 2565 ที่มีกำไรสุทธิรวมประมาณ 49,602 ล้านบาท และที่น่าเป็นห่วงคือ มีกว่า 12 บริษัทที่ประสบภาวะขาดทุน ซึ่งบางบริษัทขาดทุนต่อเนื่องมา 3-4 ปีตั้งแต่ช่วงโควิด-19 และอีกกว่า 20 บริษัทมีกำไรลดลงจากปีก่อนหน้า
Land and Houses แชมป์กำไรสูงสุด ท่ามกลางการปรับโครงสร้าง
สำหรับ 10 อันดับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ทำกำไรสูงสุดในปี 2566 มีดังนี้:
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH): 7,495 ล้านบาท (กำไรส่วนหนึ่งมาจากการขายโรงแรม 2 แห่งให้กองทุน ประมาณ 2,500 ล้านบาท)
ศุภาลัย (SPALI): 6,083 ล้านบาท
เอพี (ไทยแลนด์) (AP): 6,054 ล้านบาท
แสนสิริ (SIRI): 5,846 ล้านบาท (โต 42%)
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI): 3,160 ล้านบาท (ลดลง -25%)
เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC): 2,525 ล้านบาท
ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH): 2,503 ล้านบาท
พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH): 2,339 ล้านบาท
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) (FPT): 1,865 ล้านบาท
เซ็นทรัลพัฒนา (CPN): 1,610 ล้านบาท (ประมาณการจากกำไรก่อนหักภาษีเงินได้ 1,975 ล้านบาท)
แนวโน้มปี 2567: ความท้าทายและการปรับตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ข้อมูลที่นำเสนอข้างต้น สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ภาค อสังหาริมทรัพย์ประเทศไทย กำลังเผชิญในปี 2566 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สภาวะตลาดที่ชะลอตัว การแข่งขันที่สูงขึ้น และความผันผวนทางเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้และกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
สำหรับปี 2567 นี้ คาดว่าจะเป็นอีกปีที่ท้าทายอย่างยิ่ง นักลงทุนและผู้ประกอบการในธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะการมุ่งเน้นการบริหารต้นทุน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่แท้จริง การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และการสร้างจุดแข็งทางการตลาดที่แตกต่าง
การวิเคราะห์ผลประกอบการเชิงลึกเช่นนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจของผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการ อสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุน ผู้ประกอบการ หรือแม้กระทั่งผู้บริโภคที่กำลังมองหา บ้าน คอนโดมิเนียม หรือ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน การเข้าใจถึงภาพรวมของตลาดและผลการดำเนินงานของบริษัทต่างๆ จะช่วยให้สามารถวางแผนและตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ
หากท่านเป็นผู้ประกอบการที่กำลังมองหาวิธีการปรับปรุง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ของท่าน หรือต้องการคำปรึกษาเพื่อนำพาองค์กรให้ผ่านพ้นความท้าทายในยุคนี้ ผมขอเชิญชวนให้ท่านติดต่อเข้ามาเพื่อพูดคุยและร่วมกันหาโซลูชั่นที่เหมาะสมที่สุดสำหรับธุรกิจของท่าน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและความยั่งยืนให้กับ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ในอนาคต
