น้า-หลาน ชวนกันสูบน้ำจับปลา ทำอาหารมื้อเย็น พร้อมซื้อเหล้ามากิน สุดท้ายคว้าปืนยิงกันเสียชีวิต อ้างตักเตือนแล้วไม่ฟัง ปรี่ทำร้าย
วันที่ 12 ธ.ค.2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองไหม จ.ขอนแก่น รับแจ้งเหตุชายถูกยิงเสียชีวิต บริเวณกระท่อมท้ายหมู่บ้าน ต.โคกสี อ.เมือง จ.ขอนแก่น จึงรายงาน พ.ต.อ.อดิเมธ พลมุข ผกก.สภ.เมืองไหม นำกำลังรุดไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.ท.บรรจบ เกตุชมพู รอง ผกก.ป. พ.ต.ท.สมพาน พืชผักหวาน สว.สส. ฝ่ายสืบสวนแพทย์ พิสูจน์หลักฐาน และหน่วยกู้ภัย
ที่เกิดเหตุพบผู้เสียชีวิตเป็นชาย อายุ 25 ปี นอนเสียชีวิตอยู่ข้างกองไฟ มีบาดแผลรอยกระสุนปืนยิงเข้าราวนมซ้าย 1 นัด โดยมีนายสามารถ อายุ 56 ปี ผู้เป็นน้าชาย รอมอบตัวอยู่พร้อมปืนแก๊ปยาว 1 กระบอก ตำรวจจึงเข้าควบคุมตัวพร้อมตรวจยึดอาวุธปืนของกลางไว้เป็นหลักฐ
ประเทศไทย: วิเคราะห์เชิงลึกผลประกอบการอสังหาริมทรัพย์ปี 2566 – ใครคือผู้แข็งแกร่งท่ามกลางความท้าทาย?
จากประสบการณ์ในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นวัฏจักรขึ้นลงของตลาดมาหลายครั้ง แต่ปี 2566 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปนั้น ถือเป็นปีที่สร้างความประหลาดใจและท้าทายอย่างยิ่ง จากความคาดหวังที่อยากเห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องตามโมเมนตัมของปี 2565 ตลาดกลับเข้าสู่ภาวะชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ และความซบเซาได้ต่อเนื่องยาวนานจนถึงปลายปี แม้แต่ช่วงเวลาแห่งการจับจ่ายใช้สอยที่คึกคักในไตรมาส 4 ก็ยังไม่สามารถจุดประกายการฟื้นตัวได้อย่างที่คาดหวัง และแนวโน้มนี้ได้ส่งผ่านมายังต้นปี 2567 ทำให้ภาพรวมยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

เพื่อทำความเข้าใจถึงพลวัตที่แท้จริงของตลาด อสังหาริมทรัพย์ไทย ในปี 2566 นี้ Property Mentor ได้ทำการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทั้งสิ้น 41 บริษัท เพื่อประเมินผลการดำเนินงานของแต่ละองค์กร และค้นหาว่าใครคือ “ผู้ชนะที่แท้จริง” ในสนามที่เต็มไปด้วยอุปสรรค
ภาพรวมรายได้รวม: ความท้าทายที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง
ในปี 2566 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 41 แห่ง สามารถสร้างรายได้รวมกันทั้งสิ้น 371,560 ล้านบาท ตัวเลขนี้ลดลงเล็กน้อยประมาณ 1.2% เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีรายได้รวม 376,141 ล้านบาท แต่เมื่อเจาะลึกลงไปในรายละเอียด จะพบว่าบริษัทถึง 25 จาก 41 แห่ง มีรายได้รวมลดลง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่กระจายตัวไปในวงกว้าง
บริษัทที่เผชิญกับภาวะรายได้ติดลบในอัตราที่สูง เช่น L.P.N. Development (LPN), Eastern Star Real Estate (ESTAR), และ Country Group Development (CGD) ต่างประสบปัญหาการลดลงของรายได้ราว 28% ตามมาด้วย Raimon Land (RML) ที่ติดลบ 26%, Lalin Property (LPH) ที่ -23%, Major Development (MD) ที่ -22% และ Siamese Asset (SA) ที่ -21%
แม้แต่ Land and Houses (LH) หนึ่งในยักษ์ใหญ่ของวงการ ก็ยังมีรายได้รวมติดลบถึง 18% ที่น่าสังเกตคือ ในกลุ่ม Top 10 บริษัทที่มีรายได้รวมสูงสุดในปี 2566 ถึง 5 แห่ง มีรายได้รวมลดลงจากปีก่อนหน้า นอกจาก Land and Houses แล้ว ยังมี AP (Thailand) (AP) ที่รายได้ลดลงเล็กน้อยไม่ถึง 1%, Supalai (SPALI) ที่ -10%, Pruksa Holding (PPH) ที่ -9%, และ Origin Property (ORI) ที่รายได้รวมลดลงประมาณ 4%
การแข่งขันในกลุ่มผู้นำ: แสนสิริผงาดขึ้นอันดับ 1 ด้านรายได้รวม
เมื่อพิจารณา 10 อันดับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีรายได้รวมสูงสุดในปี 2566 ผลลัพธ์ที่ปรากฏคือ:
แสนสิริ (SIRI): 39,082 ล้านบาท (เติบโต 12%)
เอพี (ไทยแลนด์) (AP): 38,399 ล้านบาท
ศุภาลัย (SPALI): 31,818 ล้านบาท
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH): 30,170 ล้านบาท
พฤกษา โฮลดิ้ง (PPH): 26,132 ล้านบาท
เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC): 24,487 ล้านบาท
ยูนิเวนเจอร์ (UV): 17,672 ล้านบาท
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) (FPT): 16,169 ล้านบาท
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI): 15,157 ล้านบาท
สิงห์ เอสเตท (S): 15,066 ล้านบาท
รายได้จากการขาย: เกณฑ์วัดผลงานที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของผู้คร่ำหวอดในวงการ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ การวัดผลการดำเนินงานที่แท้จริงควรให้ความสำคัญกับ รายได้จากการขาย เป็นหลัก เนื่องจากหลายบริษัทในกลุ่ม Top 10 ด้านรายได้รวม อาจมีรายได้จากแหล่งอื่นเข้ามาเสริม การพิจารณาเฉพาะรายได้จากการขายจะช่วยให้เห็นภาพความแข็งแกร่งของธุรกิจหลักได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เมื่อรวมรายได้จากการขายของทั้ง 41 บริษัท พบว่ามีมูลค่ารวม 268,460 ล้านบาท ลดลงประมาณ 11% เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีรายได้จากการขายรวม 299,979 ล้านบาท และที่น่าเป็นห่วงคือ มีถึง 30 จาก 41 บริษัท ที่มีรายได้จากการขายลดลง
กรณีที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ ได้แก่ Raimon Land (RML) ที่รายได้จากการขายตกลงถึง 78%, L.P.N. Development (LPN) ที่ลดลงเกือบ 40%, และ Land and Houses (LH) ที่น่าตกใจเมื่อรายได้จากการขายลดลงถึง 38% แม้แต่ AP (Thailand) (AP) ซึ่งเป็นอันดับ 1 ในด้านรายได้จากการขาย ก็ยังคงมีรายได้ส่วนนี้ลดลงเล็กน้อยที่ 2% และที่น่าสนใจคือ ในกลุ่ม Top 10 บริษัทที่มีรายได้จากการขายสูงสุดถึง 8 บริษัท มีรายได้จากการขายที่ลดลงจากปีก่อนหน้า
AP (Thailand) ครองความเป็นหนึ่งด้านรายได้จากการขาย
สำหรับ 10 อันดับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มี รายได้จากการขาย สูงสุดในปี 2566 มีดังนี้:
เอพี (ไทยแลนด์) (AP): 36,927 ล้านบาท (เป็น 1 ใน 2 บริษัทที่มีรายได้จากการขายเติบโต 7%)
แสนสิริ (SIRI): 32,829 ล้านบาท (เติบโต 7%)
ศุภาลัย (SPALI): 30,836 ล้านบาท
เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC): 23,370 ล้านบาท (เติบโต 13%)
พฤกษา โฮลดิ้ง (PPH): 22,357 ล้านบาท
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH): 18,966 ล้านบาท
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) (FPT): 10,019 ล้านบาท
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI): 8,840 ล้านบาท (แม้รายได้ลดลง 24% แต่ยังคงอยู่ใน Top 10)
ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QH): 7,619 ล้านบาท
พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (PF): 7,171 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ถือเป็นอีกหนึ่งผู้เล่นที่น่าจับตาอย่างยิ่ง หลังจากการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายมาอย่างต่อเนื่อง ในปี 2566 CPN สามารถสร้างรายได้จากการขายได้ถึง 5,835 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตถึง 103% เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีรายได้จากการขาย 2,870 ล้านบาท แสดงถึงศักยภาพในการเติบโตที่น่าประทับใจ
กำไรสุทธิ: บทสรุปของผู้ชนะที่แท้จริง
ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่สะท้อนถึงความแข็งแกร่งและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของบริษัทอสังหาริมทรัพย์อย่างแท้จริง คือ กำไรสุทธิ หรือความสามารถในการเก็บเกี่ยวผลตอบแทนเข้ากระเป๋า แม้จะมีรายได้มากเพียงใด หากมีต้นทุนสูงหรือมีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นมาก ก็ย่อมไม่อาจถือเป็นผู้ชนะที่แท้จริงได้
ในปี 2566 บริษัททั้ง 41 แห่ง ทำกำไรสุทธิรวมกันได้ 44,165 ล้านบาท ลดลง 11% จากปี 2565 ที่มีกำไรสุทธิรวมประมาณ 49,602 ล้านบาท ยิ่งไปกว่านั้น มีถึง 12 บริษัทที่รายงานผลประกอบการขาดทุน ซึ่งบางแห่งยังคงขาดทุนต่อเนื่องมา 3-4 ปี ตั้งแต่ช่วงการระบาดของโควิด-19 และยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ นอกจากนี้ กว่า 20 บริษัท จาก 41 บริษัท มีกำไรสุทธิลดลงจากปี 2565
Land and Houses ผงาดขึ้นเป็นอันดับ 1 ด้านกำไรสุทธิ
สำหรับ 10 อันดับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถทำกำไรสูงสุดในปี 2566 มีดังนี้:
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH): 7,495 ล้านบาท (แม้รายได้รวมลดลง แต่กำไรสูงจากการขายโรงแรม 2 แห่งเข้ากองทุน มูลค่า 2,500 ล้านบาท)
ศุภาลัย (SPALI): 6,083 ล้านบาท
เอพี (ไทยแลนด์) (AP): 6,054 ล้านบาท
แสนสิริ (SIRI): 5,846 ล้านบาท (เติบโต 42%)
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI): 3,160 ล้านบาท (แม้กำไรลดลง 25%)
เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC): 2,525 ล้านบาท
ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH): 2,503 ล้านบาท
พฤกษา โฮลดิ้ง (PPH): 2,339 ล้านบาท
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) (FPT): 1,865 ล้านบาท
เซ็นทรัลพัฒนา (CPN): 1,610 ล้านบาท (เป็นการประมาณการจากกำไรก่อนหักภาษีเงินได้ 1,975 ล้านบาท)
มองไปข้างหน้า: ความท้าทายในปี 2567 และโอกาสสำหรับนักลงทุน
ข้อมูลทั้งหมดนี้เป็นการสรุปผลการดำเนินงานของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ 41 แห่งที่ Property Mentor ได้รวบรวมมา สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ไทย ต้องเผชิญในปี 2566 ซึ่งคาดการณ์ได้ว่าปี 2567 จะยังคงเป็นอีกปีที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และต้องการความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในตลาด อสังหาฯ กรุงเทพ และเมืองท่องเที่ยว รวมถึงความสามารถในการปรับตัวของผู้ประกอบการ
สำหรับนักลงทุนและผู้ที่กำลังมองหาโอกาสในตลาด ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ การพิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง, กลยุทธ์การดำเนินงานที่ยืดหยุ่น, และความสามารถในการสร้างผลกำไรที่ยั่งยืน จะเป็นกุญแจสำคัญในการตัดสินใจที่ชาญฉลาด
หากท่านเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการที่ปรึกษาเชิงลึก เพื่อวางแผนกลยุทธ์รับมือความท้าทาย หรือเป็นนักลงทุนที่มองหาโอกาสในการลงทุนใน คอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว หรือ ทาวน์เฮ้าส์ ในทำเลที่มีศักยภาพ สามารถติดต่อเข้ามาเพื่อรับคำปรึกษาและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญของเรา ที่พร้อมจะช่วยให้ท่านก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาแห่งความท้าทายนี้ไปได้อย่างมั่นคง และคว้าโอกาสทองในตลาด อสังหาริมทรัพย์มือสอง และโครงการใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น.
