วันที่ 9 ธันวามคม 2568 เปิดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ณ ราชมังคลากีฬาสถาน การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) หัวหมาก อย่างเป็นทางการ โดยพิธีเปิดครั้งนี้เน้นนำการสร้างมาตรฐานใหม่ ด้วยศักยภาพคนไทยและคนรุ่นใหม่ ที่มีความร่วมสมัยระดับโลก แต่ยังคงเสน่ห์ความเป็นไทย มีธีมหลัก คือ ความเป็นหนึ่งเดียวกันของทั้งภูมิภาค หรือ WE ARE ONE ซึ่งจะมีการแสดงแบบจัดเต็มทั้งหมด 5 ชุด เป็นการผสมผสานระหว่างศิลปวัฒนธรรมเข้ากับเทคโนโลยีการแสดงที่ทันสมัย และสร้างความตื่นตาตื่นใจสำหรับการแสดงชุดแรก ได้แก่ BACK TO THE ORIGIN สู่จุดเริ่มต้น ต่อด้วยการแสดงชุดที่ 2 IGNITE THE GAME ปลุกพลังสู่การแข่งขัน จากนั้นชุดที่ 3 การแสดงร่ายรำประกอบสื่อผสม แสง สี เสียง และการแสดงกีฬาทางน้ำ ชุด WE ARE ONE – WE ARE CONNECTED BY THE SEA สายน้ำหลอมดวงใจเป็นหนึ่งเดียว ขณะที่ชุดที่ 4 การแสดงศิลปะมวยไทยประกอบสื่อผสม แสง สี เสียง ชุด ONE SPIRIT จิตวิญญาณแห่งความเป็นหนึ่ง โดย “บัวขาว บัญชาเมฆ” ร้อยเอก สมบัติ บัญชาเมฆ และปิดท้ายการแสดงเบ่งบานของดอกไม้ที่เป็นตัวแทนจาก 11 ประเทศ ประกอบบทเพลงของศิลปินนักร้อง และสื่อผสม แสง สี เสียง ชุด BLOOMING OF ONE VICTORY มิตรภาพ คือ ชัยชนะ โดย “แบมแบม” กันต์พิมุกต์ ภูวกุล สมาชิกชาวไทยหนึ่งเดียวจากวง K-POP ระดับโลก GOT7
เจาะลึกสมรภูมิอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2567: ถอดรหัสผู้ชนะตัวจริงและทิศทางตลาด 2568
ปี 2567 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปนับเป็นอีกหนึ่งบททดสอบสำคัญของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย แม้จะมีความคาดหวังถึงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งหลังจากเผชิญความท้าทายมาหลายปี แต่ความเป็นจริงกลับซับซ้อนกว่าที่คาดการณ์ไว้ ปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน อัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง และกำลังซื้อภายในประเทศที่ถูกกดดันจากภาระหนี้ครัวเรือน ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์อย่างหนักเพื่อประคองและสร้างการเติบโตในสภาวะที่เปรียบเสมือนการเดินบนเส้นด้าย ท่ามกลางภาพรวมที่ยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด บทความนี้จะพาท่านเจาะลึกผลประกอบการของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์ประจำปี 2567 เพื่อค้นหาว่าใครคือผู้ที่สามารถก้าวผ่านความท้าทายและวางรากฐานสู่ความสำเร็จในปี 2568 ได้อย่างแท้จริง

Property Insight Analytics (PIA) ได้รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์รวมทั้งสิ้น 45 แห่ง ซึ่งครอบคลุมผู้พัฒนาโครงการรายใหญ่และรายกลาง เพื่อให้เห็นภาพที่ครบถ้วนและแม่นยำที่สุดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในปี 2567 และเตรียมพร้อมรับมือกับแนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ 2568 ที่กำลังจะมาถึง
ภาพรวมรายได้รวม: การเติบโตท่ามกลางแรงกดดัน
ตลอดปี 2567 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 45 รายที่ PIA ศึกษา สามารถสร้างรายได้รวมกันกว่า 405,800 ล้านบาท แสดงถึงการเติบโตเล็กน้อยประมาณ 3.5% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีรายได้รวม 392,000 ล้านบาท แม้ตัวเลขรวมจะดูเป็นบวก แต่เมื่อเจาะลึกรายบริษัท กลับพบว่ามีถึง 20 จาก 45 บริษัทที่เผชิญกับรายได้รวมที่ลดลง สะท้อนให้เห็นถึงความไม่สม่ำเสมอในการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย
บริษัทที่ประสบปัญหารายได้รวมติดลบอย่างมีนัยสำคัญ อาทิ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ที่รายได้ลดลงราว -18% จากการชะลอตัวของโครงการแนวราบในบางทำเล รวมถึง บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ และ บริษัท ไรมอน แลนด์ ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะตลาดคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรีที่มีการแข่งขันสูงและกำลังซื้อชะลอตัว ทำให้รายได้รวมลดลงประมาณ -15% และ -12% ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีผู้เล่นรายกลางอีกหลายรายที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคในการระบายสต็อกและอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่สูงขึ้น
แม้แต่ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ระดับประเทศบางรายก็ยังได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพิงตลาดคอนโดมิเนียมมากเป็นพิเศษ แต่ก็มีหลายบริษัทที่แสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์การปรับตัวที่โดดเด่น ทำให้สามารถรักษาหรือเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้
สุดยอด 10 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ทำรายได้รวมสูงสุดปี 2567
จากการวิเคราะห์ของ PIA พบว่าทำเนียบ 10 อันดับแรกของบริษัทที่ทำรายได้รวมสูงสุดในปี 2567 มีการแข่งขันที่ดุเดือด และแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวเพื่อคว้าโอกาสในภาวะตลาดที่ท้าทาย:
บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน): ผงาดเป็นแชมป์อีกครั้งด้วยรายได้รวม 43,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.5% จากปี 2566 สะท้อนถึงความแข็งแกร่งในการกระจายพอร์ตโฟลิโอและแคมเปญการตลาดเชิงรุก
บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน): ตามมาอย่างใกล้ชิดด้วยรายได้รวม 42,850 ล้านบาท เติบโต 11.7% พิสูจน์ความเป็นผู้นำในตลาดแนวราบและคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค
บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน): รักษาอันดับ 3 ไว้ได้อย่างมั่นคงด้วยรายได้รวม 35,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.9% จากกลยุทธ์ที่เน้นความคุ้มค่าและคุณภาพ
บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน): มีรายได้รวม 33,800 ล้านบาท เติบโต 7.6% ยังคงเป็นแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจสูงในตลาดบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม
บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน): รายได้รวม 29,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.2% จากการปรับโครงสร้างและเน้นตลาดที่อยู่อาศัยหลากหลายรูปแบบ
บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน): รายได้รวม 27,500 ล้านบาท เติบโต 12.3% โดดเด่นจากการพัฒนาโครงการระดับพรีเมียมและนวัตกรรมใหม่ๆ
บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน): รายได้รวม 18,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.7% จากการขยายพอร์ตโฟลิโอสู่ธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน
บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน): รายได้รวม 18,300 ล้านบาท เติบโต 3.5% จากการบริหารจัดการสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพ
บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน): รายได้รวม 17,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.0% จากการแข็งแกร่งในตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม
บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน): รายได้รวม 16,800 ล้านบาท เติบโต 11.5% จากการลงทุนในโครงการมิกซ์ยูสและโรงแรม
การวัดผลที่แท้จริง: รายได้จากการขายโครงการ
แม้รายได้รวมจะสะท้อนถึงภาพรวมของธุรกิจ แต่การวัดผลที่แท้จริงถึงความสามารถในการแข่งขันของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ควรพิจารณาจาก “รายได้จากการขายโครงการ” เป็นหลัก เพราะรายได้รวมอาจรวมถึงรายได้จากธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่การขายอสังหาริมทรัพย์ เช่น การให้เช่า หรือการบริการ ซึ่งอาจบิดเบือนภาพความเป็นจริงในตลาดที่อยู่อาศัยได้
ตลอดปี 2567 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 45 แห่งที่ PIA วิเคราะห์ มีรายได้จากการขายโครงการรวมกัน 285,100 ล้านบาท ซึ่งลดลงเล็กน้อยประมาณ -5.0% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีรายได้จากการขาย 300,000 ล้านบาท ตัวเลขนี้ตอกย้ำถึงความท้าทายในการปิดการขายท่ามกลางกำลังซื้อที่อ่อนแอและกฎเกณฑ์สินเชื่อที่เข้มงวด โดยมีถึง 28 จาก 45 บริษัทที่มียอดขายลดลง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้รายได้รวมจะดูดีขึ้น แต่สมรภูมิการแข่งขันเพื่อแย่งชิงกำลังซื้อนั้นยังคงดุเดือด
บริษัทที่ประสบปัญหารายได้จากการขายลดลงอย่างรุนแรง อาทิ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ ที่ยอดขายลดลงเกือบ -35% จากการระบายสต็อกคอนโดมิเนียมที่ยังทำได้ไม่ดีนัก และ บริษัท ไรมอน แลนด์ ที่มียอดขายลดลงถึง -60% อันเป็นผลมาจากการชะลอการเปิดโครงการใหม่และการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดคอนโดมิเนียมระดับบน
สุดยอด 10 บริษัทที่มียอดขายโครงการสูงสุดปี 2567
เมื่อพิจารณาเฉพาะรายได้จากการขายโครงการ ทำเนียบผู้ชนะก็มีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ แสดงให้เห็นถึงความโดดเด่นของกลยุทธ์การขายและการตอบสนองความต้องการของตลาด:
บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน): ก้าวขึ้นสู่อันดับ 1 อย่างสง่างามด้วยรายได้จากการขาย 40,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.7% สะท้อนถึงความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์และการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย
บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน): ตามมาในอันดับ 2 ด้วยรายได้จากการขาย 36,900 ล้านบาท เติบโต 12.4% พิสูจน์ถึงความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและนวัตกรรมการตลาด
บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน): รักษาอันดับ 3 ได้อย่างเหนียวแน่นด้วยรายได้จากการขาย 33,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7% จากโครงการที่เน้นคุณภาพและราคาที่เข้าถึงง่าย
บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน): ขยับขึ้นมาใน Top 5 ด้วยรายได้จากการขาย 26,000 ล้านบาท เติบโตถึง 11.8% จากการขยายฐานลูกค้าสู่โครงการแนวราบระดับกลางถึงบน
บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน): มีรายได้จากการขายรวม 25,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.3% จากการปรับโมเดลธุรกิจและเจาะกลุ่มลูกค้า Gen Y และ Gen Z
บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน): แม้รายได้จากการขายจะลดลงเล็กน้อย -4.5% แต่ยังคงรักษาสถานะใน Top 10 ด้วยยอดขาย 22,000 ล้านบาท แสดงถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์
บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน): รายได้จากการขาย 10,800 ล้านบาท ลดลง -15.0% แต่ยังคงติดอันดับด้วยโครงการที่หลากหลาย
บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน): ทำรายได้จากการขาย 10,200 ล้านบาท เติบโต 2.0% โดยส่วนใหญ่มาจากโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ
บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน): รายได้จากการขาย 8,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.3% จากกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นคุณภาพและการบริการหลังการขาย
บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน): มียอดขายรวม 7,800 ล้านบาท เติบโต 4.0% จากการปรับกลยุทธ์การตลาดและทำเลที่ตั้งโครงการ
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) – ดาวรุ่งพุ่งแรงในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย
เป็นที่น่าจับตาอย่างยิ่งสำหรับ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ที่เริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตจากการขยายพอร์ตโฟลิโอสู่โครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายอย่างจริงจัง ในปี 2567 CPN มียอดขายโครงการสูงถึง 7,200 ล้านบาท เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 23% จากปี 2566 สะท้อนถึงศักยภาพในการสร้างสรรค์โครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพสูงภายใต้แบรนด์ที่แข็งแกร่ง และความได้เปรียบในการผสานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์เข้ากับการพัฒนาที่อยู่อาศัย
ปัจฉิมบทของความสำเร็จ: กำไรสุทธิ
ท้ายที่สุดแล้ว แม้ยอดขายจะสูงเพียงใด แต่หากปราศจากกำไรสุทธิที่แข็งแกร่ง ก็ไม่อาจถือว่าเป็นผู้ชนะที่แท้จริงได้ ในปี 2567 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 45 แห่งทำกำไรสุทธิรวมกันได้ 48,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.8% จากปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิรวมประมาณ 45,000 ล้านบาท นี่แสดงให้เห็นว่าแม้ตลาดจะท้าทาย แต่ผู้ประกอบการหลายรายสามารถบริหารจัดการต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกำไรได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีบริษัทถึง 10 แห่งที่ประสบภาวะขาดทุน และมากกว่า 18 บริษัทที่กำไรลดลงจากปีก่อนหน้า ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการรัดเข็มขัดและปรับกลยุทธ์การดำเนินงาน
สุดยอด 10 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ทำกำไรสูงสุดปี 2567
อันดับผู้ทำกำไรสูงสุดบ่งบอกถึงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุน การสร้างมูลค่าเพิ่ม และการตัดสินใจลงทุนที่ชาญฉลาด:
บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน): ผงาดขึ้นเป็นอันดับ 1 ในด้านกำไรสุทธิด้วยตัวเลข 6,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% จากปี 2566 สะท้อนถึงวินัยทางการเงินที่แข็งแกร่งและกลยุทธ์การพัฒนาโครงการที่สร้างผลตอบแทนสูงสุด
บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน): ตามมาติดๆ ด้วยกำไรสุทธิ 6,750 ล้านบาท เติบโต 11.5% จากความสามารถในการบริหารจัดการโครงการและประสิทธิภาพในการขาย
บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน): แม้รายได้จากการขายจะลดลง แต่ยังคงรักษากำไรสุทธิ 6,500 ล้านบาท (-13.3% เนื่องจากไม่มีรายการพิเศษเหมือนปี 2566) ได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยกลยุทธ์การบริหารสินทรัพย์และการลงทุนที่รอบคอบ
บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน): ทำกำไรสุทธิ 6,300 ล้านบาท เติบโต 7.8% จากการเพิ่มยอดขายและบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน): มีกำไรสุทธิ 2,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.8% จากการเติบโตของยอดขายและโครงการที่มีอัตรากำไรสูง
บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน): มีกำไรสุทธิ 2,850 ล้านบาท ลดลง -9.8% แต่ยังคงรักษาระดับกำไรที่ดีไว้ได้
บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน): มีกำไรสุทธิ 2,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.9% จากการเน้นพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์และควบคุมต้นทุนได้ดี
บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน): ทำกำไร 2,650 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.3% จากการปรับโครงสร้างธุรกิจให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน): มีกำไร 2,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.6% จากความแข็งแกร่งในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน): ก้าวเข้าสู่ Top 10 ด้วยกำไรสุทธิ 1,850 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.9% จากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของยอดขายโครงการที่อยู่อาศัย
แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568: โอกาสและความท้าทาย
จากการวิเคราะห์ผลประกอบการปี 2567 และการประเมินปัจจัยทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง Property Insight Analytics คาดการณ์ว่าปี 2568 จะยังคงเป็นปีที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องเผชิญกับสภาพตลาดที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีโอกาสที่สดใสสำหรับผู้ที่พร้อมปรับตัวและมองเห็นช่องทางใหม่ๆ
ปัจจัยบวก:
การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว: การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนและรัสเซีย จะส่งผลดีต่อตลาดคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุนและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเช่าในเมืองท่องเที่ยวสำคัญ
โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ: การเร่งรัดโครงการเมกะโปรเจกต์ เช่น รถไฟความเร็วสูงและรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ จะสร้างโอกาสในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ตามแนวเส้นทางและหัวเมืองใหญ่
นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน: มาตรการของภาครัฐในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและการกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ หากดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยพยุงตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้
ความต้องการที่อยู่อาศัยใหม่ในกลุ่ม Gen Y และ Gen Z: กลุ่มคนรุ่นใหม่ยังคงมีความต้องการที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยเฉพาะโครงการที่เน้นความคุ้มค่า ฟังก์ชันการใช้งานที่ยืดหยุ่น และเทคโนโลยีสมาร์ทโฮม
ปัจจัยท้าทาย:
อัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและหนี้ครัวเรือน: แม้ธนาคารกลางหลายแห่งจะส่งสัญญาณชะลอการขึ้นดอกเบี้ย แต่อัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับสูงจะยังคงเป็นแรงกดดันต่อกำลังซื้อและการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางและล่าง ซึ่งเผชิญกับภาระหนี้ครัวเรือนสูง
กฎเกณฑ์สินเชื่อที่อยู่อาศัยที่เข้มงวด: สถาบันการเงินยังคงระมัดระวังในการอนุมัติสินเชื่อ ส่งผลให้การปฏิเสธสินเชื่อยังคงสูง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ซื้อเพื่อการลงทุน
ภาวะโอเวอร์ซัพพลายในบางเซกเมนต์: ตลาดคอนโดมิเนียมบางทำเล โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวบางแห่ง ยังคงมีปริมาณซัพพลายคงเหลือจำนวนมาก ซึ่งต้องใช้เวลาในการระบาย
ต้นทุนการพัฒนาที่สูงขึ้น: ราคาที่ดิน ค่าวัสดุก่อสร้าง และค่าแรงงานที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลต่อต้นทุนโครงการและอัตรากำไรของผู้พัฒนา
กลยุทธ์สู่ความสำเร็จในสมรภูมิ 2568:
ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จะเป็นผู้ชนะในอนาคตจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับ:
การบริหารจัดการเงินทุนอย่างรอบคอบ: การเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่หลากหลายและมีต้นทุนที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ
การพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและตอบโจทย์: ไม่จำกัดเพียงที่อยู่อาศัย แต่รวมถึงอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ อุตสาหกรรม และโครงการมิกซ์ยูส
การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้: PropTech และเทคโนโลยีอัจฉริยะจะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขาย การบริหารจัดการ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการ
การมุ่งเน้นอสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน (Sustainable Real Estate): ผู้ซื้อในยุคปัจจุบันให้ความสำคัญกับโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงานมากขึ้น
การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างยั่งยืน: การเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้งและการให้บริการหลังการขายที่ดีเยี่ยมจะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
การบริหารจัดการสต็อกอย่างมีประสิทธิภาพ: การระบายสต็อกเก่าและควบคุมการเปิดโครงการใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดเป็นสิ่งสำคัญเพื่อรักษาสภาพคล่อง
สรุป
ปี 2567 ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและความยืดหยุ่นของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ไทย แม้ต้องเผชิญกับปัจจัยท้าทายมากมาย ผู้ที่สามารถยืนหยัดและสร้างการเติบโตได้คือผู้ที่เข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง มีกลยุทธ์ที่เฉียบคม และพร้อมนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค
สำหรับปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงเป็นสมรภูมิที่ต้องอาศัยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและการลงมือทำที่เด็ดขาด ผู้ประกอบการที่สามารถมองเห็นโอกาสท่ามกลางความท้าทาย จะสามารถก้าวข้ามอุปสรรคและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนได้
สนใจเจาะลึกข้อมูลและกลยุทธ์เพื่อนำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของคุณสู่ความสำเร็จในปี 2568 หรือต้องการคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย? ติดต่อ Property Insight Analytics วันนี้เพื่อรับรายงานฉบับเต็มและการวิเคราะห์เฉพาะทางที่จะช่วยให้คุณวางแผนได้อย่างแม่นยำและคว้าชัยในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
