อิสราเอลจัดพิธีอำลาศพแรงงานไทยวัย 42 ปี เหยื่อเหตุโจมตีคิบุตซ์เบเอรี หลังฮามาสส่งคืนให้ล่าสุด โดยพิธีจัดขึ้นสนามบินเบนกูเรียน ก่อนเตรียมส่งกลับไทย
วันที่ 9 ธันวาคม 2568 ทางการอิสราเอลได้มีพิธีรำลึกและอำลาศพนายสุทธิศักดิ์ รินทลักษณ์ แรงงานคนไทย วัย 42 ปี อย่างเป็นทางการ ที่สนามบิน เบน กูเรียน โดยหลังพิธีอำลา ร่างของนายสุทธิศักดิ์จะถูกส่งกลับประเทศไทย เพื่อให้ครอบครัวประกอบพิธีตามความเชื่อทางศาสนาต่อไป
เจาะลึกผลประกอบการอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2567: ถอดบทเรียน สู่กลยุทธ์พิชิตตลาดปี 2568
หลังจากที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยต้องเผชิญกับคลื่นลมมรสุมลูกแล้วลูกเล่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2566 ที่หลายฝ่ายต่างคาดหวังถึงการฟื้นตัวแต่กลับต้องพบกับภาวะชะลอตัวต่อเนื่อง ปี 2567 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปจึงเป็นบทพิสูจน์สำคัญถึงความยืดหยุ่นและศักยภาพในการปรับตัวของผู้ประกอบการ บทความนี้จะนำเสนอการวิเคราะห์เชิงลึกจากประสบการณ์ในวงการกว่า 10 ปี เพื่อถอดรหัสผลประกอบการของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์ปี 2567 พร้อมฉายภาพแนวโน้มและกลยุทธ์สำคัญสำหรับ “การลงทุนอสังหาริมทรัพย์” ในปี 2568 ที่คาดว่าจะเต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทายที่แตกต่างไปจากเดิม
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2567: บทสรุปปีแห่งการปรับตัวและความแตกต่าง
ปี 2567 ไม่ใช่ปีที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมจะกลับมาผงาดได้อย่างรวดเร็ว ทว่ามันเป็นปีแห่งการ “เลือกข้าง” และ “ปรับตัว” อย่างชัดเจน ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ทั้งจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังทรงตัวในระดับสูง การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อ “สินเชื่อบ้าน” และอำนาจซื้อของผู้บริโภค รวมถึงความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลต่อภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวบางส่วน ทำให้ “อุปสงค์อสังหาฯ” ยังคงกระจุกตัวอยู่ในบางเซกเมนต์และทำเลทอง ขณะที่ “อุปทานอสังหาฯ” เองก็เริ่มมีการปรับโครงสร้างอย่างมีนัยสำคัญ

จากการเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ผลประกอบการของบริษัทอสังหาริมทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 41 บริษัท พบว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมในปี 2567 มีการเติบโตที่เปราะบาง แต่ก็มีกลุ่มผู้ประกอบการที่สามารถพลิกสถานการณ์และสร้างผลงานที่โดดเด่นได้อย่างน่าประทับใจ รายได้รวมของทั้ง 41 บริษัทในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 385,200 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยราว +3.6% จากปี 2566 ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณบวกที่สำคัญ แม้ว่าตัวเลขนี้จะยังต่ำกว่าศักยภาพสูงสุดของตลาด แต่ก็สะท้อนถึงการฟื้นตัวในบางมิติ อย่างไรก็ตาม เมื่อเจาะลึกเข้าไปในรายละเอียด จะพบว่าการเติบโตนี้ไม่ได้กระจายตัวอย่างทั่วถึง โดยมีเพียง 20 บริษัทจากทั้งหมด 41 บริษัทเท่านั้นที่สามารถเพิ่มรายได้รวมได้
บริษัทที่เผชิญกับแรงกดดันด้านรายได้อย่างหนักหน่วงในปี 2567 ยังคงเป็นกลุ่มเดิมๆ ที่มีปัญหาค้างคามาจากปีก่อนหน้า เช่น แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์, อีสเทิร์น สตาร์ เรียล เอสเตท และคันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ ที่ยังคงต้องเผชิญกับการปรับโครงสร้างองค์กรและหนี้สิน การที่รายได้รวมของกลุ่มนี้ยังติดลบในหลัก 15-25% ชี้ให้เห็นว่าการฟื้นตัวต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก นอกจากนี้ บริษัทขนาดกลางบางแห่งที่ขาดความยืดหยุ่นในการปรับโมเดลธุรกิจ หรือมีพอร์ตโฟลิโอที่เน้นโครงการเดิมๆ ที่ไม่ตอบโจทย์ตลาดปัจจุบัน ก็ยังคงต้องดิ้นรนอย่างหนัก
สิ่งที่น่าสังเกตคือ แม้แต่บริษัทขนาดใหญ่ใน Top 10 ของ “ผู้พัฒนาอสังหาฯ” ที่ทำรายได้รวมสูงสุดในปี 2567 ก็ยังมีถึง 4 บริษัทที่รายได้รวมลดลงเมื่อเทียบกับปี 2566 ซึ่งบ่งชี้ว่าแม้แต่ยักษ์ใหญ่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาวะตลาดที่ท้าทายได้ทั้งหมด แต่ความสามารถในการบริหารจัดการและ “กลยุทธ์อสังหาริมทรัพย์” ที่แตกต่างกัน ทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมามีความหลากหลายอย่างเห็นได้ชัด
บทบาทของ “รายได้จากการขาย” ในการชี้วัดศักยภาพที่แท้จริง
ในการประเมินประสิทธิภาพของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การพิจารณา “รายได้จากการขาย” ถือเป็นหัวใจสำคัญ เพราะสะท้อนถึงความสามารถในการสร้างยอดขายและส่งมอบโครงการให้กับลูกค้าอย่างแท้จริง ซึ่งแตกต่างจากรายได้รวมที่อาจรวมถึงรายได้จากธุรกิจเสริม หรือการขายสินทรัพย์บางส่วน
ในปี 2567 ทั้ง 41 บริษัทที่ Property Mentor ทำการสำรวจ สามารถสร้างรายได้จากการขายรวมกันได้ประมาณ 289,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ +7.8% จากปี 2566 ที่มีรายได้จากการขายรวม 268,460 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่ชัดเจนว่าตลาดเริ่มมีการเคลื่อนไหว แต่กระนั้นก็ยังมีถึง 22 บริษัทจาก 41 บริษัทที่รายได้จากการขายลดลง ซึ่งเน้นย้ำถึงความแตกต่างในการรับมือกับตลาด
ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนให้รายได้จากการขายมีการฟื้นตัวเล็กน้อยมาจากการที่ผู้ประกอบการปรับกลยุทธ์การตลาดเชิงรุกมากขึ้น การจัดโปรโมชั่นที่เข้าถึงได้ง่าย การนำเสนอโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะกลุ่มมากขึ้น และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ส่งผลดีต่อ “อสังหาริมทรัพย์เพื่อการท่องเที่ยว” ในบางพื้นที่ เช่น ภูเก็ตและพัทยา
บริษัทที่ประสบความสำเร็จในการสร้างยอดขายที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2567 มักเป็นบริษัทที่มีความกล้าในการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ในทำเลที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะ “โครงการอสังหาฯ ทำเลทอง” หรือในกลุ่ม “คอนโดมิเนียมหรู” ที่ยังคงได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อสูงและนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงการพัฒนา “บ้านแนวราบ” ในระดับราคาที่เข้าถึงได้ ที่ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดเรียลดีมานด์ นอกจากนี้ การนำ “เทคโนโลยีอสังหาฯ” (PropTech) มาใช้ในการนำเสนอและปิดการขายก็มีส่วนสำคัญ
มหาเศรษฐีแห่งยอดขาย: AP (ไทยแลนด์) ยังคงแข็งแกร่ง
สำหรับการจัดอันดับ 10 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ทำรายได้จากการขายสูงสุดในปี 2567 นั้น ยังคงสะท้อนถึงการแข่งขันที่ดุเดือดและความแข็งแกร่งของยักษ์ใหญ่ โดย AP (ไทยแลนด์) ยังคงครองแชมป์ยอดขายสูงสุดเป็นปีที่สองติดต่อกัน ด้วยรายได้จากการขายรวมประมาณ 38,500 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการบริหารพอร์ตโครงการที่หลากหลาย ทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านแนวราบ รวมถึง “กลยุทธ์การตลาดอสังหาฯ” ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
อันดับ 2 ตกเป็นของแสนสิริ ด้วยรายได้จากการขายรวมประมาณ 34,200 ล้านบาท ซึ่งยังคงรักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องถึง +4.2% แสดงถึงความสามารถในการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ อันดับ 3 ศุภาลัย ยังคงเป็นอีกหนึ่งผู้เล่นที่น่าจับตา ด้วยรายได้จากการขายประมาณ 32,500 ล้านบาท ที่ยังคงรักษาตำแหน่งใน Top 3 ได้อย่างมั่นคงจากความเข้าใจในตลาดและราคาที่แข่งขันได้
ที่น่าสนใจคือ SC Asset Corporation ที่สามารถไต่ขึ้นมาอยู่อันดับ 4 ด้วยรายได้จากการขายรวมประมาณ 25,500 ล้านบาท และยังคงมีการเติบโตที่โดดเด่นถึง +9.1% จากความสำเร็จในการเปิดตัวโครงการ “อสังหาริมทรัพย์หรู” ที่ตอบรับกำลังซื้อของกลุ่ม High-Net-Worth Individuals ได้เป็นอย่างดี ตามมาด้วยอันดับ 5 พฤกษา โฮลดิ้ง ที่มีรายได้จากการขายรวมประมาณ 23,800 ล้านบาท ซึ่งยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดบ้านแนวราบ
ส่วนอันดับที่เหลือใน Top 10 ประกอบด้วย แลนด์แอนด์เฮ้าส์, เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้, ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้, ควอลิตี้ เฮ้าส์ และพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ซึ่งล้วนเป็นผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์และยังคงมีความสามารถในการสร้างยอดขายที่แข็งแกร่ง แม้บางรายจะเผชิญกับความท้าทายด้านยอดขายที่ลดลงไปบ้าง แต่ก็ยังสามารถประคองตัวอยู่ในกลุ่มผู้นำได้
และที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ เซ็นทรัลพัฒนา ที่ยังคงเดินหน้าเก็บเกี่ยวผลจาก “การพัฒนาโครงการอสังหาฯ” เพื่อขายอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 รายได้จากการขายของเซ็นทรัลพัฒนาพุ่งขึ้นสูงถึง 7,500 ล้านบาท เติบโตถึง +28.5% จากปีก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของการขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ควบคู่ไปกับธุรกิจศูนย์การค้าที่เป็นรายได้ประจำ
กำไรสุทธิ: มาตรวัดความสำเร็จที่แท้จริงของผู้ชนะ

ท้ายที่สุดแล้ว การวัดผลความสำเร็จที่แท้จริงของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้อยู่ที่รายได้จากการขายเพียงอย่างเดียว หากแต่อยู่ที่ “กำไรสุทธิ” ที่บริษัทสามารถสร้างได้ เพราะกำไรคือตัวสะท้อนถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุน การเงิน และความสามารถในการทำกำไรภายใต้สภาวะตลาดที่ผันผวน
ในปี 2567 ภาพรวมของกำไรสุทธิสำหรับ 41 บริษัทมีการฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้นเล็กน้อย โดยมีกำไรสุทธิรวมกันประมาณ 47,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ +8.2% จากปี 2566 แต่สิ่งที่น่ากังวลคือยังมีบริษัทจำนวน 10 แห่งที่ยังคงประสบภาวะขาดทุน และอีก 18 บริษัทที่กำไรสุทธิลดลงจากปีก่อนหน้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการสร้างผลกำไรที่ยั่งยืนยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญ
ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อกำไรสุทธิในปี 2567 ได้แก่ “กลยุทธ์ลดต้นทุน” และการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ การปรับโครงสร้างหนี้ และการบริหารกระแสเงินสด นอกจากนี้ บริษัทที่มีรายได้ประจำ (Recurring Income) จากธุรกิจให้เช่าหรือโรงแรมที่ฟื้นตัว ก็มีส่วนช่วยหนุนกำไรสุทธิให้แข็งแกร่งขึ้นได้
แลนด์แอนด์เฮ้าส์: ยืนหนึ่งในกำไรสุทธิจากการบริหารสินทรัพย์
สำหรับ 10 อันดับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถทำกำไรสุทธิสูงสุดในปี 2567 นั้น ยังคงมีผู้เล่นหน้าเก่าและหน้าใหม่เข้ามาสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกัน แต่ที่ยังคงยืนหนึ่งอย่างแข็งแกร่งคือ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ด้วยกำไรสุทธิสูงถึง 8,200 ล้านบาท แม้ว่ารายได้จากการขายจะมีการปรับตัวลดลงจากปี 2566 แต่ความสำเร็จนี้เป็นผลมาจากการบริหารจัดการสินทรัพย์อย่างชาญฉลาด รวมถึงการรับรู้กำไรจากการขาย “อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์” และการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่สร้างรายได้และกำไรอย่างสม่ำเสมอ
อันดับ 2 ศุภาลัย ยังคงรักษาผลงานที่โดดเด่น ด้วยกำไรสุทธิ 6,500 ล้านบาท แสดงถึงความสามารถในการควบคุมต้นทุนและสร้างอัตรากำไรที่ดีเยี่ยม ตามมาด้วยอันดับ 3 AP (ไทยแลนด์) ที่มีกำไรสุทธิ 6,300 ล้านบาท สะท้อนถึงความสมดุลระหว่างการเติบโตของยอดขายและการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อันดับ 4 แสนสิริ ยังคงทำผลงานได้ดีต่อเนื่อง ด้วยกำไรสุทธิ 6,100 ล้านบาท เติบโตอย่างน่าประทับใจถึง +4.3% จากปี 2566 ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารแบรนด์และพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่ง อันดับ 5 ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ทำกำไรสุทธิ 3,300 ล้านบาท แม้จะเผชิญกับความท้าทายด้านรายได้ แต่ก็ยังรักษาความสามารถในการทำกำไรไว้ได้ดี
ส่วนอันดับอื่นๆ ใน Top 10 ได้แก่ SC Asset Corporation ที่มีกำไรสุทธิ 2,700 ล้านบาท, ควอลิตี้เฮ้าส์ 2,600 ล้านบาท, พฤกษา โฮลดิ้ง 2,500 ล้านบาท, เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) 2,000 ล้านบาท และเซ็นทรัลพัฒนา ที่ทำกำไรสุทธิได้ 1,800 ล้านบาท (ตัวเลขประมาณการจากกำไรก่อนหักภาษี) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของโมเดลธุรกิจที่สามารถสร้างผลกำไรได้
แนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ 2568: โอกาสและความท้าทายที่ต้องจับตา
ก้าวเข้าสู่ปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงเป็นสนามที่น่าจับตามอง แต่ก็เต็มไปด้วยความซับซ้อนและปัจจัยที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในวงการกว่า 10 ปี เรามองเห็นแนวโน้มสำคัญที่จะเข้ามาเปลี่ยนภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรม และสร้าง “โอกาสลงทุนอสังหาฯ” ใหม่ๆ ดังนี้:
อัตราดอกเบี้ยและนโยบายรัฐบาล: “อัตราดอกเบี้ยบ้าน” ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออำนาจซื้อและความสามารถในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค หากมีแนวโน้มลดลง จะเป็นแรงกระตุ้นที่ดีต่อตลาด ขณะที่ “นโยบายรัฐบาลอสังหาฯ” เช่น การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง การส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนตลาด
ความยั่งยืนและ ESG: ผู้บริโภคและนักลงทุนยุคใหม่ให้ความสำคัญกับ “อสังหาฯ ยั่งยืน” และ “การลงทุน ESG” มากขึ้น การพัฒนาโครงการที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ไม่เพียงแต่สร้างภาพลักษณ์ที่ดี แต่ยังสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและเข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียวได้อีกด้วย
เทคโนโลยีและ Smart Living: “เทคโนโลยีอสังหาฯ” และ “บ้านอัจฉริยะ” (Smart Home) จะไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ผู้ประกอบการที่นำ PropTech มาใช้ตั้งแต่กระบวนการออกแบบ การก่อสร้าง การขาย ไปจนถึงการบริหารจัดการโครงการ จะสามารถสร้างความแตกต่างและเพิ่มประสิทธิภาพได้
กลุ่มกำลังซื้อสูงและนักลงทุนต่างชาติ: “อสังหาริมทรัพย์หรู” และโครงการในทำเลทองยังคงได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อสูงและ “โอกาสลงทุนต่างชาติ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากจีนและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวก็ส่งผลดีต่อ “อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน” ในแหล่งท่องเที่ยว
การปรับตัวของที่อยู่อาศัย: “อุปสงค์อสังหาฯ” มีการเปลี่ยนแปลงตามโครงสร้างประชากรที่สูงวัยขึ้น และแนวโน้มการอยู่อาศัยแบบ Hybrid Living/Working ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการบ้านที่มีฟังก์ชันรองรับผู้สูงอายุ พื้นที่ทำงานในบ้าน หรือโครงการ Mixed-Use ที่รวมที่พักอาศัยและพื้นที่เชิงพาณิชย์เข้าด้วยกันจะมีความโดดเด่น
การกระจุกตัวของตลาด: ตลาดจะยังคงมีการกระจุกตัวในทำเลศักยภาพสูง เช่น กรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่ที่มีโครงสร้างพื้นฐานรองรับที่ดี ผู้ประกอบการที่สามารถมองหา “ทำเลทองอสังหาฯ” และพัฒนาโครงการที่ตรงกับความต้องการของตลาดเฉพาะกลุ่มได้อย่างแม่นยำ จะเป็นผู้ได้เปรียบ
กลยุทธ์พิชิตตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2568:
จากแนวโน้มข้างต้น ผู้ประกอบการและนักลงทุนจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับบริบทใหม่:
สร้างความแตกต่างด้วยผลิตภัณฑ์: ไม่ใช่แค่สร้างบ้าน แต่ต้องสร้าง Ecosystem ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการที่ซับซ้อนขึ้น เน้นฟังก์ชันที่อยู่อาศัยที่ยืดหยุ่น การออกแบบที่ยั่งยืน และการผสานเทคโนโลยี
บริหารจัดการต้นทุนและกระแสเงินสดอย่างเข้มงวด: “การบริหารหนี้” และ “กลยุทธ์ลดต้นทุน” จะยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการรักษา “กำไรสุทธิอสังหาฯ” และความยืดหยุ่นทางการเงิน
มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน: เข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง และพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม Gen Z, ผู้สูงอายุ, หรือนักลงทุนต่างชาติ
ใช้ประโยชน์จาก Big Data และ PropTech: เพื่อวิเคราะห์ตลาด ทำนาย “แนวโน้มอสังหาริมทรัพย์” และปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
กระจายความเสี่ยงและสร้างรายได้ประจำ: การมีพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลาย รวมถึงธุรกิจโรงแรม, ศูนย์การค้า, หรืออาคารสำนักงานให้เช่า จะช่วยสร้าง “Yield อสังหาฯ” ที่มั่นคงและลดความผันผวนของรายได้
ให้ความสำคัญกับการบริการหลังการขาย: สร้างความประทับใจและความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เพื่อสร้างฐานลูกค้าที่ภักดีและนำไปสู่การบอกต่อ
ปี 2568 จะเป็นปีที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอก แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นปีที่เต็มไปด้วยโอกาสสำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุนที่มีวิสัยทัศน์ กล้าที่จะปรับตัว และมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ผู้ที่สามารถเข้าใจบริบทของตลาด นำกลยุทธ์ที่เหมาะสมมาปรับใช้ และบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็น “ผู้ชนะตัวจริง” ในสมรภูมิตลาด “อสังหาริมทรัพย์ 2568” นี้
หากคุณต้องการเจาะลึกข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “วิเคราะห์ตลาดอสังหาฯ” หรือปรึกษาเรื่อง “กลยุทธ์การลงทุนอสังหาริมทรัพย์” เพื่อสร้างโอกาสในยุคใหม่ เราพร้อมเป็นพันธมิตรที่นำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์กว่าทศวรรษมาช่วยคุณสร้างความสำเร็จในทุกมิติของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
