ทหารไทยยิงกระสุนปืนใหญ่ ใส่กาสิโนกัมพูชา ที่ล้ำเข้ามาบริเวณชายแดนด้าน จ.ตราด ขณะที่ทหารกัมพูชา เปิดภาพอ้างเป็นความเสียหายจากการปะทะ ที่หมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง ใน จ.โพธิสัตว์
เมื่อเวลาประมาณ 10.30 น. วันที่ 10 ธันวาคม 2568 มีรายงานจากแนวชายแดนไทยกัมพูชา ด้าน จ.ตราด ว่า ได้ทำการยิงกระสุนปืนใหญ่ ไปยังอาคารกาสิโนในส่วนที่ล้ำเขตแดนไทยเข้ามาบริเวณบ้านท่าเส้น ตรงข้ามกับบ้านทมอดา อ.เวียลเวล จ.โพธิสัตว์ เบื้องต้นยังมีเสียงปืนดังอย่างต่อเนื่องอยู่เป็นระยะ
ขณะที่มีรายงานว่า ทหารกัมพูชา เปิดภาพที่อ้างว่า เป็นความเสียหายที่หมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง หลังจากที่เมื่อช่วงเช้า กัมพูชาและไทย มีการยิงปืนใหญ่ตอบโต้กันไปมา บริเวณบ้านท่าเส้น ตรงข้ามกับหมู่บ้านทมอดา อ.เวียลเวล จ.โพธิสัตว์ ของกัมพูชา เบื้องต้นยังไม่มีรายงานการเสียชีวิต
เจาะลึกสมรภูมิอสังหาริมทรัพย์ไทย 2568: ถอดรหัสกลยุทธ์ผู้ชนะ สู่การลงทุนอย่างชาญฉลาดในยุคแห่งการปรับตัว
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยมากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการพลิกผันและวิวัฒนาการของตลาดมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ปี 2567 ที่ผ่านมานี้ ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่เข้มข้นถึงความสามารถในการปรับตัวและสร้างสรรค์นวัตกรรมของเหล่าผู้ประกอบการ อุตสาหกรรมที่เคยถูกคาดหวังว่าจะพุ่งทะยานจากอานิสงส์ของการฟื้นตัวหลังวิกฤต กลับต้องเผชิญกับคลื่นลมที่โหมกระหน่ำ ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน อัตราดอกเบี้ยที่ยังคงทรงตัวในระดับสูง หนี้ครัวเรือนที่ถ่วงกำลังซื้อ และต้นทุนการก่อสร้างที่พุ่งสูงขึ้นไม่หยุดหย่อน ปัจจัยเหล่านี้ได้สร้างแรงกดดันมหาศาล ทำให้บรรยากาศการลงทุนและการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ต้องอยู่ในโหมดระมัดระวังอย่างยิ่ง
ขณะที่เราก้าวเข้าสู่ปี 2568 ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ยังคงมีอยู่เต็มไปหมด การวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเปรียบเสมือนดัชนีชี้วัดสุขภาพของภาคธุรกิจนี้ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจว่าใครคือผู้ที่แข็งแกร่งพอจะยืนหยัดและใครคือผู้ที่สามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้จริง ในปี 2567 ที่ผ่านมา Property Mentor ได้รวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำทั้งสิ้น 41 แห่ง เพื่อถอดรหัสกลยุทธ์และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น เราจะมาดูกันว่าในปีที่ท้าทายนั้น ใครคือ “ผู้ชนะตัวจริง” และบทเรียนเหล่านั้นจะนำพาเราไปสู่ทิศทางใดในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568

ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2567: บทเรียนแห่งความท้าทายสู่การปรับตัวปี 2568
ปี 2567 เป็นปีที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม จากการเก็บข้อมูลพบว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 41 แห่งสามารถสร้าง รายได้รวม กันได้ประมาณ 365,200 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยราว -1.7% จากปี 2566 ที่มีรายได้รวม 371,560 ล้านบาท ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามอย่างหนักในการประคองตัวในภาวะที่กำลังซื้อยังไม่ฟื้นเต็มที่ และสภาวะเศรษฐกิจมหภาคยังคงเป็นปัจจัยกดดัน อย่างไรก็ตาม หากพิจารณารายบริษัท จะพบว่ามีถึง 28 จาก 41 บริษัทที่ต้องเผชิญกับรายได้รวมที่ลดลง ซึ่งบ่งชี้ว่าไม่ใช่ทุกรายที่สามารถรับมือกับแรงเสียดทานของตลาดได้ดีเท่ากัน
บริษัทที่ต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างหนัก จนมีรายได้รวมติดลบในระดับ 20% ขึ้นไป อาทิ แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์, อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท และ คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ ที่ยังคงอยู่ในภาวะเปราะบาง มีรายได้ลดลงราว -25% นอกจากนี้ ไรมอน แลนด์ ก็ยังคงเผชิญความยากลำบาก รายได้รวมลดลงราว -22% เช่นเดียวกับ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ -18% และ ไซมิส แอสเสท -17% ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้เล่นที่ต้องกลับมาทบทวนกลยุทธ์การตลาดและผลิตภัณฑ์อย่างเร่งด่วน
แม้แต่ผู้เล่นระดับบิ๊กอย่างแลนด์แอนด์เฮ้าส์เองก็ยังคงมีรายได้รวมติดลบที่ 15% บ่งชี้ว่าแม้มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาพรวมตลาดได้ทั้งหมด สิ่งที่น่าสังเกตคือ ในกลุ่ม Top 10 บริษัทที่มีรายได้รวมสูงสุดในปี 2567 นั้น มีถึง 6 บริษัทที่รายได้รวมลดลงจากปี 2566 นอกเหนือจากแลนด์แอนด์เฮ้าส์แล้ว ยังมี เอพี (ไทยแลนด์) ที่รายได้รวมลดลงเล็กน้อยไม่ถึง -1% สะท้อนถึงการแข่งขันที่รุนแรงและข้อจำกัดในการเติบโตในตลาดคอนโดมิเนียมและที่อยู่อาศัยแนวราบ ขณะที่ ศุภาลัย -8% พฤกษา โฮลดิ้ง -7% และ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ รายได้รวมลดลงประมาณ -3% ก็แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการรัดเข็มขัดและปรับแผนการดำเนินงาน

ศึกชิงบัลลังก์รายได้รวม: ใครคือผู้นำตัวจริงในปี 2567?
ในสมรภูมิที่ท้าทายนี้ ยังคงมีผู้เล่นที่สามารถสร้างรายได้รวมได้อย่างน่าประทับใจ สำหรับ 10 อันดับแรกของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ทำรายได้รวมสูงสุดในปี 2567 มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยที่น่าจับตา ดังนี้:
เอพี (ไทยแลนด์) (AP) กลับมาทวงบัลลังก์อันดับ 1 ด้วยรายได้รวม 39,500 ล้านบาท แม้จะลดลงเล็กน้อย แต่การรักษาระดับนี้ไว้ได้ท่ามกลางภาวะตลาดที่ยากลำบาก แสดงถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์และกลยุทธ์การพัฒนาโครงการที่หลากหลาย ทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านแนวราบ
แสนสิริ (SIRI) ตามมาอย่างสูสีในอันดับ 2 ด้วยรายได้รวม 38,850 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความต่อเนื่องในการทำตลาดและยอดขาย แม้จะต้องเผชิญกับภาวะชะลอตัวในบางเซกเมนต์
ศุภาลัย (SPALI) รั้งอันดับ 3 อย่างมั่นคง ด้วยรายได้รวม 32,500 ล้านบาท ด้วยจุดแข็งด้านผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าหลากหลายและกลยุทธ์การบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) รายได้รวม 29,800 ล้านบาท แม้ลดลงจากปีก่อน แต่ด้วยฐานรายได้จากธุรกิจเช่าและทรัพย์สินอื่น ๆ ที่แข็งแกร่ง ทำให้ยังคงติดอยู่ใน Top 5 ได้อย่างสม่ำเสมอ
พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) ด้วยรายได้รวม 25,900 ล้านบาท ยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดบ้านแนวราบ โดยเฉพาะกลุ่มทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยวระดับกลาง
ส่วนอันดับ 6 ตกเป็นของ เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) ที่มีรายได้รวม 24,000 ล้านบาท อันดับ 7 ยูนิเวนเจอร์ (UV) ด้วยรายได้รวม 17,200 ล้านบาท อันดับ 8 เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) (FPT) 15,800 ล้านบาท อันดับ 9 ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) 14,900 ล้านบาท และอันดับ 10 สิงห์ เอสเตท (S) 14,500 ล้านบาท
เจาะลึกรายได้จากการขาย: วัดพลังขับเคลื่อนแท้จริง
ในการประเมินผลงานที่แท้จริงของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้น “รายได้จากการขาย” คือหัวใจสำคัญ เพราะสะท้อนถึงความสามารถในการส่งมอบโครงการและปิดการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในปี 2567 บริษัทอสังหาฯ ทั้ง 41 แห่ง มี รายได้จากการขายรวมกัน ประมาณ 255,000 ล้านบาท ซึ่งลดลงราว -5% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีรายได้จากการขายรวม 268,460 ล้านบาท ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่าแม้หลายบริษัทจะพยายามอัดโปรโมชั่นและเร่งการโอนกรรมสิทธิ์ แต่ก็ยังคงเผชิญกับความท้าทายในการผลักดันยอดขายให้เติบโตได้ตามเป้าหมาย โดยมีถึง 25 จาก 41 บริษัทที่รายได้จากการขายลดลงจากปี 2566
บริษัทที่รายได้จากการขายลดลงอย่างน่าตกใจ อาทิ ไรมอน แลนด์ ที่ยังคงเผชิญกับยอดขายที่ซบเซา ลดลงถึง -35% แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ ลดลง -28% และ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ที่รายได้จากการขายลดลงถึง -25% แสดงให้เห็นว่าแม้จะมีรายได้รวมจากธุรกิจอื่นช่วยพยุง แต่ในมิติของการพัฒนาเพื่อขาย ก็ยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องเร่งแก้ไข ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่เบอร์ใหญ่อย่าง เอพี (ไทยแลนด์) เองก็ยังคงมีรายได้จากการขายลดลงเล็กน้อยที่ -1% สะท้อนถึงภาวะการแข่งขันที่ดุเดือด โดยในกลุ่ม Top 10 บริษัทที่มีรายได้จากการขายสูงสุดนั้น มีถึง 7 บริษัทที่รายได้จากการขายลดลงจากปีก่อนหน้า
เอพี (ไทยแลนด์) ยืนหนึ่งด้านการขาย แสนสิริ-SC Asset โตสวนกระแส
สำหรับ 10 อันดับบริษัทอสังหาฯ ที่ทำรายได้จากการขายสูงสุดในปี 2567 มีดังนี้:
เอพี (ไทยแลนด์) (AP) ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยรายได้จากการขายรวม 36,500 ล้านบาท แม้จะลดลงเล็กน้อย แต่การทำยอดขายได้ในระดับนี้สะท้อนถึงความสามารถในการเจาะตลาดคอนโดมิเนียมและบ้านแนวราบได้อย่างแม่นยำ และการบริหารจัดการพอร์ตโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แสนสิริ (SIRI) เข้าป้ายในอันดับ 2 ด้วยรายได้จากการขายรวม 34,500 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นอย่างน่าประทับใจถึง 5% สวนกระแสตลาด แสดงให้เห็นถึงพลังของแบรนด์และกลยุทธ์การตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดี
ศุภาลัย (SPALI) รั้งอันดับ 3 อย่างเหนียวแน่น ด้วยรายได้จากการขาย 31,500 ล้านบาท ด้วยการนำเสนอโครงการที่มีคุณภาพในราคาที่เข้าถึงได้และกระจายตัวในทำเลศักยภาพ
เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) ก้าวขึ้นสู่ Top 5 ได้สำเร็จ ด้วยรายได้จากการขาย 24,800 ล้านบาท ซึ่งเติบโตอย่างโดดเด่นถึง 6% ตอกย้ำถึงความสำเร็จในการพัฒนาโครงการระดับพรีเมียมและกลุ่มที่อยู่อาศัยแนวราบที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค
พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) มีรายได้จากการขายรวม 22,000 ล้านบาท ยังคงเป็นผู้เล่นหลักในตลาดบ้านแนวราบ ด้วยฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง
ส่วนอันดับ 6 แม้รายได้จากการขายจะลดลงไปมาก แต่ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) ก็ยังคงประคองตัวอยู่ใน Top 10 ด้วยรายได้จากการขายรวม 19,000 ล้านบาท อันดับ 7 เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ที่เริ่มติดเครื่องเต็มกำลัง หลังปูพรมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายมาแล้วหลายโครงการ รายได้จากการขาย 9,500 ล้านบาท เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 63% จากปีก่อนหน้า แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของโครงการ Mixed-use และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ อันดับ 8 ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) รายได้จากการขายรวม 8,500 ล้านบาท อันดับ 9 ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QH) มีรายได้จากการขายรวม 7,800 ล้านบาท และอันดับ 10 พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (PF) มีรายได้จากการขายรวม 7,000 ล้านบาท
กำไรสุทธิ: บทพิสูจน์สุดท้ายของผู้ชนะตัวจริง
ในท้ายที่สุด ไม่ว่าใครจะมียอดขายดีหรือรายได้รวมสูงเพียงใด หากไม่สามารถแปรเปลี่ยนเป็น “กำไรสุทธิ” ที่จับต้องได้ ก็ย่อมไม่ใช่ผู้ชนะตัวจริงอย่างแท้จริง ในปี 2567 บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 41 แห่ง มี กำไรสุทธิรวมกัน ได้ 39,000 ล้านบาท ซึ่งลดลงถึง -12% จากปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิรวม 44,165 ล้านบาท ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นถึงแรงกดดันมหาศาลจากต้นทุนที่สูงขึ้น ภาวะการแข่งขันที่ต้องอัดโปรโมชั่น และภาระดอกเบี้ยที่ยังคงเป็นตัวถ่วง โดยมีถึง 15 บริษัทที่ผลประกอบการขาดทุน ซึ่งบางรายขาดทุนต่อเนื่องมาหลายปี และกว่า 28 บริษัทจาก 41 บริษัทที่มีผลกำไรลดลงจากปี 2566
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ยืนหนึ่งกำไรสุทธิ ศุภาลัย-เอพี ตามติด
สำหรับ Top 10 บริษัทอสังหาฯ ที่สามารถทำกำไรสุทธิได้สูงสุดในปี 2567 มีดังนี้:
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) ยังคงครองแชมป์กำไรสูงสุดได้อย่างเหนือชั้น ด้วยกำไรสุทธิ 7,200 ล้านบาท แม้รายได้จากการขายจะลดลง แต่ด้วยความแข็งแกร่งของธุรกิจให้เช่า การบริหารจัดการทรัพย์สินที่มีประสิทธิภาพ และการลงทุนในธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดต่อเนื่อง ทำให้ LH ยังคงเป็นต้นแบบของการสร้างผลกำไรที่ยั่งยืน
ศุภาลัย (SPALI) ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 2 อย่างสมศักดิ์ศรี ด้วยกำไรสุทธิ 6,150 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีเยี่ยม และการส่งมอบโครงการที่สร้างอัตรากำไรได้สม่ำเสมอ
เอพี (ไทยแลนด์) (AP) ตามมาในอันดับ 3 ด้วยกำไรสุทธิ 6,000 ล้านบาท สะท้อนถึงความสามารถในการสร้างผลกำไรจากพอร์ตโครงการที่หลากหลายและกลยุทธ์การขายที่มีประสิทธิภาพ
แสนสิริ (SIRI) สร้างผลงานโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง ด้วยกำไรสุทธิ 5,900 ล้านบาท ซึ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 8% ตอกย้ำถึงการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งและความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการ
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) มีกำไรสุทธิ 3,000 ล้านบาท แม้กำไรจะลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย แต่ก็ยังคงรักษาระดับผลกำไรที่ดีไว้ได้ ด้วยกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงไปสู่ธุรกิจอื่น ๆ และการจับตลาดเฉพาะกลุ่ม
ส่วนอันดับ 6 เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) มีกำไรสุทธิ 2,600 ล้านบาท เฉือนอันดับ 7 ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QH) ที่มีกำไรสุทธิ 2,450 ล้านบาท อันดับ 8 พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) มีกำไร 2,200 ล้านบาท อันดับ 9 เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) (FPT) มีกำไร 1,800 ล้านบาท และที่น่าจับตาคือ อันดับ 10 เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ที่มีกำไรสุทธิ 1,750 ล้านบาท จากการที่โครงการ Mixed-use ต่าง ๆ เริ่มเก็บเกี่ยวผลตอบแทนได้อย่างเต็มที่ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการสร้างกำไรในระยะยาวจากพอร์ตธุรกิจที่หลากหลาย
กลยุทธ์ผู้ชนะในตลาดอสังหาฯ 2568: ถอดรหัสสู่ความสำเร็จ
จากผลการดำเนินงานในปี 2567 สู่ทิศทางปี 2568 เราสามารถถอดรหัสกลยุทธ์สำคัญของผู้ชนะในตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้ดังนี้:
ความคล่องตัวในการปรับตัวและกระจายความเสี่ยง (Agility & Diversification): บริษัทที่ประสบความสำเร็จสามารถปรับเปลี่ยนแผนการพัฒนาโครงการได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป การกระจายการลงทุนไปในหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ (คอนโดมิเนียม, บ้านเดี่ยว, ทาวน์เฮาส์) และหลายทำเล ยังช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนในตลาดใดตลาดหนึ่งได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ การขยายพอร์ตไปยังธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ เช่น โรงแรม, พื้นที่ค้าปลีกให้เช่า, สำนักงานให้เช่า หรือธุรกิจคลังสินค้าและโลจิสติกส์ ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยสร้างกระแสเงินสดและพยุงผลกำไรในยามที่ตลาดซื้อขายชะลอตัว ผู้ประกอบการควรพิจารณา การลงทุนอสังหาฯ ในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้นเพื่อสร้างเสถียรภาพ
การบริหารจัดการต้นทุนและสภาพคล่องอย่างเข้มงวด (Cost & Liquidity Management): ท่ามกลางต้นทุนวัสดุก่อสร้างและค่าแรงงานที่เพิ่มขึ้น รวมถึงภาระดอกเบี้ยเงินกู้ที่ยังคงสูง บริษัทที่สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรักษาสภาพคล่องทางการเงินไว้ได้อย่างดี จะมีความได้เปรียบในการแข่งขันสูง ผู้บริหารต้องมีการพยากรณ์และควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างแม่นยำ เพื่อรักษาอัตรากำไรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะกลุ่ม (Niche Market & Value Proposition): ยุคของการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่เน้นปริมาณอาจกำลังจะผ่านไป ตลาดปี 2568 จะให้ความสำคัญกับโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคในแต่ละเซกเมนต์อย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นบ้านผู้สูงอายุ (Aging Society), ที่อยู่อาศัยที่รองรับการทำงานจากที่บ้าน (Hybrid Living), โครงการ Pet-Friendly, หรือที่อยู่อาศัยที่เน้นความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ESG Real Estate) ซึ่งเป็นเทรนด์ที่มาแรงและสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูง การทำความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคและนำเสนอ “คุณค่า” ที่แตกต่าง จะเป็นหัวใจสำคัญในการแข่งขัน
การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ (PropTech & Digital Transformation): การนำ PropTech เข้ามาใช้ในการบริหารจัดการโครงการ การตลาด การขาย และการบริการหลังการขาย จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลตลาด, VR/AR ในการนำเสนอโครงการ, ระบบ Smart Home หรือแม้แต่ Blockchain ในการจัดการเอกสาร ถือเป็น Digital Transformation อสังหาฯ ที่จะทำให้ธุรกิจก้าวกระโดด
การมุ่งเน้นความยั่งยืน (ESG): ผู้บริโภคและนักลงทุนยุคใหม่ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) มากขึ้นเรื่อย ๆ การพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การใช้วัสดุรีไซเคิล การประหยัดพลังงาน และการมีส่วนร่วมกับชุมชน จะไม่เป็นเพียงแค่ “กระแส” แต่เป็น “มาตรฐาน” ที่จะสร้างความน่าเชื่อถือและดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงที่ให้คุณค่ากับเรื่องเหล่านี้
แนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ไทย 2568 และโอกาสการลงทุน
เมื่อมองไปข้างหน้าในปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงมีทั้งความท้าทายและโอกาสที่ซ่อนอยู่:
ดอกเบี้ยและหนี้ครัวเรือน: แม้แนวโน้มดอกเบี้ยอาจเริ่มชะลอตัวลง หรือมีโอกาสปรับลดลงในช่วงปลายปี แต่ภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงยังคงเป็นตัวฉุดรั้งกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ซื้อบ้านหลังแรกและตลาดระดับกลางล่าง ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญกับราคาที่เข้าถึงได้และเงื่อนไขการเงินที่ยืดหยุ่น การเข้าถึง สินเชื่อบ้าน และ ดอกเบี้ยบ้าน ที่เหมาะสมยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ
การฟื้นตัวของท่องเที่ยวและ FDI: การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติและแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ในบางทำเล เช่น อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในแหล่งท่องเที่ยว หรืออสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์
โครงการเมกะโปรเจกต์ภาครัฐ: การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยภาครัฐ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าและถนนสายใหม่ ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการขยายตัวของเมืองและสร้างทำเลศักยภาพใหม่ๆ สำหรับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์ การ พัฒนาโครงการอสังหา ในพื้นที่ใกล้เคียงยังคงเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ
ตลาดเช่าและอสังหาริมทรัพย์ทางเลือก: ด้วยภาวะกำลังซื้อที่ชะลอตัวและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ตลาดเช่าจะยังคงมีบทบาทสำคัญ ขณะที่อสังหาริมทรัพย์ทางเลือก เช่น โครงการ co-living space, serviced apartment สำหรับชาวต่างชาติ หรือคลังสินค้าให้เช่า ก็จะมีดีมานด์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สรุปมุมมองผู้เชี่ยวชาญ
ปี 2568 จะเป็นปีแห่งการ “กลั่นกรอง” ที่แท้จริง บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่สามารถปรับตัว บริหารจัดการต้นทุนได้ไม่ดี หรือขาดวิสัยทัศน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง จะต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างแน่นอน ในทางกลับกัน บริษัทที่มีความยืดหยุ่น มีวินัยทางการเงิน และมีความเข้าใจในความต้องการของผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง จะเป็นผู้ที่สามารถคว้าโอกาสและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
การลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์ไทย 2568 ไม่ได้เป็นเรื่องของการเก็งกำไรอีกต่อไป แต่คือการลงทุนใน “คุณค่า” ที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นทำเลที่ตั้ง คุณภาพของโครงการ ความคุ้มค่าด้านราคา หรือการตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป การศึกษาข้อมูลเชิงลึกและ วิเคราะห์ตลาดอสังหาฯ อย่างรอบด้าน จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
อย่ารอช้าที่จะค้นพบโอกาสทองในการลงทุน! หากคุณต้องการข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568 หรือต้องการคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการลงทุนอสังหาฯ ให้ประสบความสำเร็จสูงสุดในสภาพตลาดปัจจุบัน โปรดติดต่อเราเพื่อรับคำปรึกษาเฉพาะบุคคลวันนี้ เราพร้อมนำประสบการณ์กว่าทศวรรษมาช่วยคุณสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนในโลกของอสังหาริมทรัพย์!
