กองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราดเปิดยุทธการ “ตราดปราบปรปักษ์” ระดมกำลังรบทุกมิติ ใช้เรือหลวงเทพายิงปืนใหญ่สนับสนุนภาคพื้นดิน ยึดพื้นที่จุดยุทธศาสตร์ “บ้าน 3 หลัง” ได้แล้ว 80%
วันนี้ (10 ธ.ค.2568) รายงานข่าวจากกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในพื้นที่ จ.จันทบุรีและตราด ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพเรือ ได้เปิดยุทธการ “ตราดปราบปรปักษ์” สนธิกำลังรบในทุกมิติทั้งน้ำ-ฟ้า-ฝั่ง ในการดูแลรักษาอธิปไตยไทย
เรือหลวงเทพา ได้เข้าพื้นที่ปฏิบัติการทันทีทั้งตรวจการณ์และลาดตระเวนตลอด 24 ชั่วโมง กำลังพลทุกนายถูกยกระดับให้เข้าสู่สภาวะการณ์พร้อมรบ อาวุธประจำเรือทุกชนิดถูกเตรียมพร้อมเต็มกำลังและพร้อมใช้งานตลอดเวลา เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ทันที
ภูมิทัศน์อสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568: ถอดรหัสบทเรียนจากปี 2566 สู่โอกาสการลงทุนแห่งอนาคต
เมื่อมองย้อนกลับไปถึงผลการดำเนินงานของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2566 ผู้คร่ำหวอดในวงการมานานกว่าทศวรรษอย่างเราคงเห็นพ้องต้องกันว่าปีนั้นเป็นปีแห่งความผันผวนและความท้าทายอย่างแท้จริง ทิศทางตลาดที่เคยคาดการณ์ว่าจะกลับมาคึกคักหลังการฟื้นตัวจากวิกฤตในปี 2565 กลับชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังคงเป็นแรงกดดัน ล้วนส่งผลกระทบให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ต้องเผชิญกับคลื่นลมที่โหมกระหน่ำตลอดทั้งปี แม้แต่ช่วงไฮซีซันของไตรมาสสุดท้ายก็ยังไม่สามารถพลิกฟื้นสถานการณ์ได้อย่างที่หวัง บรรยากาศซบเซาต่อเนื่องมาจนถึงปี 2567 และกำลังเข้าสู่ปี 2568 ด้วยบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ บทความนี้จะถอดรหัสผลลัพธ์จากปี 2566 เพื่อนำเสนอภาพรวมเชิงลึก และฉายแสงไปยังกลยุทธ์และโอกาสสำหรับ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ในปี 2568 และอนาคตข้างหน้า
ข้อมูลที่เราได้รวบรวมจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้ง 41 แห่งในปี 2566 เผยให้เห็นถึงภาพสะท้อนที่หลากหลาย บางรายเผชิญกับความยากลำบากอย่างหนัก ขณะที่บางรายกลับสามารถปรับตัวและสร้างผลงานที่โดดเด่น บทวิเคราะห์นี้จะพาเจาะลึกทั้งในมิติของรายได้รวม, รายได้จากการขาย และกำไรสุทธิ เพื่อหา “ผู้ชนะตัวจริง” และถอดบทเรียนที่ยังคงมีค่าอย่างยิ่งสำหรับ กลยุทธ์อสังหาริมทรัพย์ ในปัจจุบัน
รายได้รวม: แรงเสียดทานในภาวะตลาดผันผวน

ในปี 2566 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 41 ราย ทำรายได้รวมกันกว่า 371,560 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยราว -1.2% จากปี 2565 ที่มีรายได้รวม 376,141 ล้านบาท ตัวเลขนี้ดูเหมือนไม่มากนัก แต่เมื่อเจาะลึกรายบริษัท เราพบว่ามีถึง 25 จาก 41 บริษัทที่มีรายได้รวมลดลง ซึ่งชี้ให้เห็นว่าบริษัทส่วนใหญ่กำลังเผชิญกับภาวะหดตัว บางรายติดลบในหลัก 20% ขึ้นไป อาทิ แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์, อีสเทิร์น สตาร์ เรียล เอสเตท และ คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ ที่ลดลงไปกว่า -28% ขณะที่ ไรมอน แลนด์ ติดลบ -26%, ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ -23%, เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ -22% และ ไซมิส แอสเสท -21% แม้แต่ยักษ์ใหญ่อย่างแลนด์แอนด์เฮ้าส์ก็ยังมียอดรายได้รวมติดลบถึง -18%
สิ่งที่น่าสนใจคือ ในกลุ่ม Top 10 บริษัทที่มีรายได้รวมสูงสุดในปี 2566 มีถึง 5 บริษัทที่มียอดลดลงจากปี 2565 นอกจากแลนด์แอนด์เฮ้าส์แล้ว ยังมี เอพี (ไทยแลนด์) ที่ติดลบเล็กน้อยไม่ถึง -1%, ศุภาลัย -10%, พฤกษา โฮลดิ้ง -9% และ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ลดลงราว -4% ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงการปรับฐานครั้งสำคัญของ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ และความจำเป็นในการปรับตัวของธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ก็ยังมีผู้ที่สามารถเติบโตสวนกระแสได้ แสนสิริ ผงาดขึ้นเป็นอันดับ 1 ด้วยรายได้รวม 39,082 ล้านบาท เติบโตถึง 12% เฉือนชนะ เอพี (ไทยแลนด์) ที่มีรายได้รวม 38,399 ล้านบาทไปอย่างหวุดหวิด อันดับ 3 ศุภาลัยตามมาที่ 31,818 ล้านบาท อันดับ 4 แลนด์แอนด์เฮ้าส์ 30,170 ล้านบาท และอันดับ 5 พฤกษา โฮลดิ้ง 26,132 ล้านบาท การที่แสนสิริสามารถทำผลงานโดดเด่นเช่นนี้ สะท้อนถึงการตลาดเชิงรุก การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย และการบริหารจัดการพอร์ตโครงการที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งกลายเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญสำหรับ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ อื่นๆ ในปี 2568
รายได้จากการขาย: หัวใจสำคัญของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

แม้รายได้รวมจะสะท้อนภาพรวมขององค์กร แต่รายได้จากการขายคือหัวใจหลักที่แท้จริงของ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในปี 2566 ทั้ง 41 บริษัททำรายได้จากการขายรวมกันได้ 268,460 ล้านบาท ลดลงประมาณ -11% เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีรายได้จากการขายรวมประมาณ 299,979 ล้านบาท ที่น่าตกใจคือมีถึง 30 จาก 41 บริษัทที่มียอดขายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
บางบริษัทเผชิญกับสถานการณ์วิกฤต โดยเฉพาะ ไรมอน แลนด์ ที่รายได้จากการขายตกลงถึง -78%, แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ ลดลงเกือบ -40% แม้แต่แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่ ก็มียอดขายลดลงถึง -38% และที่น่าประหลาดใจคือ เอพี (ไทยแลนด์) ซึ่งมักจะเป็นผู้นำด้านยอดขาย ก็ยังมีรายได้จากการขายลดลงเล็กน้อยที่ -2% ตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ถึงภาวะโอเวอร์ซัพพลายในบางเซกเมนต์ และการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคที่ระมัดระวังมากขึ้น ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยท้าทายต่อ การลงทุนอสังหาฯ ในปี 2568
ในทางกลับกัน ในมิติของยอดขาย เอพี (ไทยแลนด์) ยังคงแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำตลาด ด้วยรายได้จากการขายรวม 36,927 ล้านบาท แซงหน้า แสนสิริ ที่มียอดขายรวม 32,829 ล้านบาท โดยแสนสิริเป็น 1 ใน 2 บริษัทใน Top 10 ที่มียอดขายเติบโตถึง 7% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง อันดับ 3 ศุภาลัย รักษาตำแหน่งอย่างเหนียวแน่นด้วยยอดขาย 30,836 ล้านบาท อันดับ 4 เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น สร้างผลงานโดดเด่นขึ้นสู่ Top 5 ด้วยยอดขาย 23,370 ล้านบาท และเป็นอีกบริษัทที่มียอดขายเติบโตในแดนบวกที่ 13% ซึ่งสะท้อนถึงการปรับกลยุทธ์โครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้อย่างแม่นยำ
นอกจากนี้ เซ็นทรัลพัฒนา ยังเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มีผลงานโดดเด่นอย่างยิ่ง ด้วยรายได้จากการขาย 5,835 ล้านบาท เติบโตถึง 103% จากปี 2565 การเติบโตแบบก้าวกระโดดนี้มาจากการเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตจากโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายที่ปูพรมพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของการกระจายความเสี่ยงและสร้างแหล่งรายได้ใหม่ๆ ของ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่
กำไรสุทธิ: บทพิสูจน์ของผู้ชนะตัวจริงในระยะยาว
แม้ใครจะขายได้มากหรือมีรายได้สูง แต่หากเก็บกำไรเข้ากระเป๋าได้น้อย ก็ย่อมไม่อาจถือเป็น “ผู้ชนะตัวจริง” ในระยะยาวได้ ในปี 2566 ทั้ง 41 บริษัททำกำไรสุทธิรวมกันได้ 44,165 ล้านบาท ลดลง -11% จากปี 2565 ที่มีกำไรสุทธิรวมประมาณ 49,602 ล้านบาท ที่น่ากังวลคือมีกว่า 12 บริษัทที่ผลประกอบการขาดทุน โดยบางรายขาดทุนต่อเนื่องมา 3-4 ปี ตั้งแต่ช่วงโควิด และกว่า 20 บริษัทจาก 41 บริษัทมีผลกำไรลดลงจากปี 2565 สะท้อนถึงภาวะต้นทุนที่สูงขึ้น แรงกดดันด้านการแข่งขัน และอัตรากำไรที่ลดลงในภาพรวมของ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ยังคงยืนหนึ่งในเรื่องกำไรสูงสุด แม้จะมีรายได้รวมและยอดขายที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่สามารถกวาดกำไรสุทธิไปได้ถึง 7,495 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการบริหารจัดการสินทรัพย์อย่างชาญฉลาด โดยเฉพาะการรับรู้กำไรพิเศษประมาณ 2,500 ล้านบาทจากการขายโรงแรม 2 แห่งเข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการพอร์ตสินทรัพย์และการสร้างมูลค่าเพิ่มนอกเหนือจากรายได้จากการขายโครงการปกติ หากไม่นับรวมรายการพิเศษนี้ ศุภาลัย คงจะขึ้นแท่นอันดับ 1 ด้วยกำไรสุทธิ 6,083 ล้านบาท เฉือน เอพี (ไทยแลนด์) ที่มีกำไร 6,054 ล้านบาทไปอย่างฉิวเฉียด
แสนสิริ ก็ทำผลงานด้านกำไรได้อย่างโดดเด่นเช่นกัน ด้วยกำไรสุทธิ 5,846 ล้านบาท เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 42% ซึ่งสอดคล้องกับรายได้รวมที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง อันดับ 5 ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มีกำไรสุทธิ 3,160 ล้านบาท แม้กำไรจะลดลงจากปีก่อนถึง -25% แต่ก็ยังรักษาระดับอยู่ในกลุ่มผู้นำ แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไรพื้นฐานที่ดี
บทเรียนและแนวโน้มสู่ปี 2568: การปรับตัวคือกุญแจสู่ความสำเร็จ
จากผลการดำเนินงานในปี 2566 และแนวโน้มต่อเนื่องมายังปี 2567 สู่ปี 2568 เราสามารถถอดบทเรียนสำคัญหลายประการที่ยังคงมีความเกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อ โอกาสลงทุนอสังหาริมทรัพย์ และ อนาคตอสังหาริมทรัพย์ไทย ดังนี้:
ความยืดหยุ่นและการบริหารจัดการความเสี่ยง: บริษัทที่สามารถปรับตัวได้เร็ว มีการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโครงการ ทั้งประเภทสินค้า ทำเล และกลุ่มลูกค้า จะสามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดได้ดีกว่า การบริหารกระแสเงินสดและหนี้สินเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
การตลาดเชิงรุกและการเข้าถึงลูกค้า: ในภาวะที่การแข่งขันสูง การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง การทำตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค จะเป็นปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จ
การบริหารจัดการต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ: การรักษาระดับกำไรในสภาวะที่ราคาที่ดินและต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มขึ้นเป็นความท้าทาย การนำ นวัตกรรมอสังหาริมทรัพย์ และเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการโครงการและลดต้นทุนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
การบริหารจัดการสินทรัพย์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม: กรณีของแลนด์แอนด์เฮ้าส์ แสดงให้เห็นว่าการสร้างรายได้และกำไรจากพอร์ตสินทรัพย์นอกเหนือจากการขายโครงการใหม่ (เช่น การขายสินทรัพย์เข้ากองทุน, การบริหารอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า) เป็นกลยุทธ์ที่สามารถสร้างเสถียรภาพทางการเงินและโอกาสในการเติบโตให้กับ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ได้
การเติบโตแบบมีกลยุทธ์: บริษัทอย่างเซ็นทรัลพัฒนา ที่เริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตจากการขยายพอร์ตโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย แสดงให้เห็นถึงพลังของการวางแผนเชิงกลยุทธ์ระยะยาวและการกระจายแหล่งรายได้
พลังของตลาดต่างจังหวัดและโครงการแนวราบ: แม้ตลาดคอนโดมิเนียมในเมืองใหญ่จะยังคงเผชิญความท้าทายจากอุปทานส่วนเกินและกำลังซื้อที่จำกัด แต่โครงการแนวราบและโครงการในทำเลต่างจังหวัดที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะเมืองเศรษฐกิจและแหล่งท่องเที่ยว ยังคงมีดีมานด์ที่น่าสนใจ
แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ 2568: โอกาสภายใต้ความท้าทาย
เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ยังคงต้องเผชิญกับปัจจัยท้าทายหลายประการ เช่น อัตราดอกเบี้ยที่อาจทรงตัวสูง หรือปรับลดลงเพียงเล็กน้อย แรงกดดันจากหนี้ครัวเรือน และความเข้มงวดของสถาบันการเงิน อย่างไรก็ตาม เรามองเห็นแสงสว่างและ โอกาสลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ในบางเซกเมนต์และทำเลที่น่าสนใจ:
อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัยระดับกลาง-ล่าง: กลุ่มนี้ยังคงมีดีมานด์จริง โดยเฉพาะโครงการที่ราคาเข้าถึงได้และได้รับมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ หากมี การจัดการอสังหาริมทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ต้นทุนและราคาขายสมเหตุสมผล
อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนระยะยาว: อสังหาริมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนจากค่าเช่าสม่ำเสมอ หรืออยู่ในทำเลที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เช่น ใกล้โครงข่ายคมนาคมเมกะโปรเจกต์ หรือย่านธุรกิจใหม่ ยังคงเป็นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน
อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม: การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการลงทุนจากต่างชาติ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสำหรับโรงแรม รีสอร์ต คลังสินค้า และโรงงาน โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC และจังหวัดท่องเที่ยวหลัก
อสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ: ตลาดนี้มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องตามโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงวัย ความต้องการที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมบริการดูแลสุขภาพจะเพิ่มขึ้น
โครงการที่เน้นความยั่งยืนและเทคโนโลยี (Sustainable & Smart Living): ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีมากขึ้น โครงการที่ตอบโจทย์ด้านพลังงานสะอาด การออกแบบเพื่อสุขภาพ และระบบ Smart Home จะได้รับความนิยม นี่คือเทรนด์สำคัญของ อสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน และ Digital Transformation อสังหาริมทรัพย์
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในวงการ เรามองว่าปี 2568 จะเป็นปีที่ตลาดเริ่มปรับสมดุลและสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น บริษัทที่สามารถมองเห็นเทรนด์การเปลี่ยนแปลง พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง และบริหารจัดการองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้นที่จะสามารถคว้า โอกาสลงทุนอสังหาริมทรัพย์ผลตอบแทนสูง และเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ก้าวสู่ยุคใหม่ของอสังหาริมทรัพย์ไทยอย่างมั่นใจ
จากบทเรียนอันล้ำค่าของปี 2566 ผสานกับพลวัตของตลาดในปี 2568 เราเห็นได้ชัดว่าความสำเร็จใน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดขององค์กรเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงความสามารถในการปรับตัว สร้างสรรค์ และบริหารจัดการภายใต้แรงกดดัน สำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการทุกท่าน การศึกษาข้อมูลเชิงลึก วิเคราะห์ตลาดอย่างรอบด้าน และการวางแผนกลยุทธ์ที่แม่นยำ จะเป็นกุญแจสำคัญสู่การคว้าชัยชนะในภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
หากท่านกำลังมองหาคำปรึกษาเชิงลึกเพื่อวางแผน การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือต้องการถอดรหัสแนวโน้มตลาดในปี 2568 ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทีมงานผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมที่จะแบ่งปันประสบการณ์กว่าทศวรรษเพื่อช่วยให้ท่านก้าวสู่โอกาสใหม่ๆ ได้อย่างมั่นใจ ติดต่อเราวันนี้เพื่อเริ่มต้นการสนทนาสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนในโลกของอสังหาริมทรัพย์!
