F-16 ทิ้งระเบิด3ครั้ง ทำลายสะพานจัยจุมเนี้ยะ ตัดเส้นทางลำเลียงหลังพบเสริมกำลัง-อาวุธหนักประชิดชายแดน
เวลา 06.00 น. วันที่ 13 ธันวาคม 2568 กองทัพอากาศส่งเครื่อง F-16 2 ลำ ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ชายแดนตราด หลังจากกองทัพเรือร้องขอสนับสนุนทำลายสะพานจัยจุมเนี้ยะ บ้านทมาดา จังหวัดโพธิสัตว์ หลังกองทัพเรือพบว่ามีการเสริมกำลังและอาวุธหนักเข้ามายังพื้นที่ประชิดชายแดนด้านจังหวัดตราด
ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย 2566: บทวิเคราะห์เชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ 10 ปี พร้อมแนวโน้มปี 2567
ปี 2566 ถือเป็นปีที่ตลาด อสังหาริมทรัพย์ไทย ต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน แม้โมเมนตัมจากปี 2565 จะบ่งชี้ถึงสัญญาณการฟื้นตัวที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ความเป็นจริงกลับสวนทาง ตลาดได้เข้าสู่ภาวะชะลอตัวอีกครั้งก่อนการเลือกตั้งใหญ่ และความซบเซานี้ได้ยืดเยื้อต่อเนื่องมาจนถึงช่วงปลายปี แม้แต่ช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 4 ก็ยังไม่สามารถจุดประกายการเติบโตที่แข็งแกร่งได้ ส่งผลให้ภาพรวมตลาดในปี 2567 ยังคงไม่สดใสเท่าที่ควร
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการ อสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย มากว่าทศวรรษ ผมได้ติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อย่างใกล้ชิด เพื่อวิเคราะห์ว่าใครคือผู้ที่สามารถปรับตัวและคว้าชัยชนะท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนนี้ได้ Property Mentor ได้รวบรวมข้อมูลของบริษัท อสังหาริมทรัพย์ ทั้งสิ้น 41 แห่ง เพื่อประเมินผลการดำเนินงานในปี 2566 โดยเน้นที่ รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ และ กำไรสุทธิ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงสุขภาพที่แท้จริงของธุรกิจ
ภาพรวมรายได้รวม: การชะลอตัวที่เห็นได้ชัด
ในภาพรวม บริษัท อสังหาริมทรัพย์ ทั้ง 41 แห่ง สามารถสร้างรายได้รวมในปี 2566 ไปทั้งสิ้นกว่า 371,560 ล้านบาท ซึ่งลดลงเล็กน้อยประมาณ 1.2% เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีรายได้รวม 376,141 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ในระดับรายบริษัทเผยให้เห็นภาพที่น่ากังวลยิ่งขึ้น เนื่องจากมีถึง 25 จาก 41 บริษัท ที่มีรายได้รวมลดลง สะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันที่ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม อสังหาริมทรัพย์ กรุงเทพ และหัวเมืองใหญ่
บริษัทที่เผชิญกับภาวะรายได้ติดลบอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ L.P.N. Development, Eastern Star Real Estate และ Country Group Development ซึ่งมีรายได้รวมลดลงราว 28% นอกจากนี้ Raimon Land ยังมีรายได้รวมลดลงถึง 26% ตามมาด้วย Lalin Property ที่ -23%, Major Development ที่ -22% และ Siamese Asset ที่ -21%
แม้แต่ Land and Houses ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัท อสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ก็ยังคงประสบกับรายได้รวมที่ลดลงถึง 18% เป็นที่น่าสังเกตว่า ในกลุ่ม 10 บริษัทที่ทำรายได้รวมสูงสุดในปี 2566 ถึง 5 บริษัท กลับมีรายได้รวมลดลงจากปีก่อนหน้า นอกเหนือจาก Land and Houses แล้ว AP (Thailand) ก็มีรายได้รวมลดลงเล็กน้อยไม่ถึง 1% ขณะที่ Supalai มีรายได้ลดลง 10%, Pruksa Holding ที่ 9% และ Origin Property มีรายได้รวมลดลงประมาณ 4%
แสนสิริ ผงาดขึ้นแท่นผู้นำรายได้รวม แต่การแข่งขันสูงกว่าที่คาด
สำหรับ 10 อันดับแรกของบริษัท อสังหาริมทรัพย์ ที่มีรายได้รวมสูงสุดในปี 2566 มีดังนี้:
แสนสิริ (Siri): 39,082 ล้านบาท (เติบโต 12%)
เอพี (ไทยแลนด์) (AP): 38,399 ล้านบาท
ศุภาลัย (SPALI): 31,818 ล้านบาท
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH): 30,170 ล้านบาท
พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH): 26,132 ล้านบาท
เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC): 24,487 ล้านบาท
ยูนิเวนเจอร์ (UV): 17,672 ล้านบาท
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) (FPT): 16,169 ล้านบาท
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI): 15,157 ล้านบาท
สิงห์ เอสเตท (S): 15,066 ล้านบาท
รายได้จากการขาย: ตัวชี้วัดความแข็งแกร่งที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม การวัดผลประกอบการที่แท้จริงของธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ควรพิจารณาจาก รายได้จากการขาย เป็นหลัก เนื่องจากบริษัท อสังหาริมทรัพย์ ขนาดใหญ่มักมีรายได้จากแหล่งอื่นเข้ามาเสริม แต่เมื่อเจาะลึกเฉพาะ รายได้จากการขาย โฉมหน้าของ 10 อันดับแรกกลับมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
ในภาพรวม 41 บริษัท สามารถทำ รายได้จากการขาย รวมกันได้ 268,460 ล้านบาท ซึ่งลดลงประมาณ 11% เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มี รายได้จากการขาย รวม 299,979 ล้านบาท ยิ่งไปกว่านั้น มีถึง 30 จาก 41 บริษัท ที่ รายได้จากการขาย ลดลงจากปีก่อนหน้า
บริษัทที่เห็นการลดลงของ รายได้จากการขาย อย่างชัดเจน ได้แก่ Raimon Land ที่ -78%, L.P.N. Development ที่เกือบ -40% และ Land and Houses ที่น่าตกใจถึง -38% แม้แต่ AP (Thailand) ผู้นำในด้าน รายได้จากการขาย ก็ยังคงมี รายได้จากการขาย ลดลงเล็กน้อยที่ -2% ไม่เพียงแค่บริษัทขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ในกลุ่ม 10 บริษัทที่มี รายได้จากการขาย สูงสุด มีถึง 8 บริษัทที่ รายได้จากการขาย ลดลงจากปีก่อนหน้า
AP (Thailand) กลับมาทวงบัลลังก์ผู้นำรายได้จากการขาย
สำหรับ 10 อันดับแรกของบริษัท อสังหาริมทรัพย์ ที่ทำ รายได้จากการขาย สูงสุดในปี 2566 มีดังนี้:
เอพี (ไทยแลนด์) (AP): 36,927 ล้านบาท
แสนสิริ (SIRI): 32,829 ล้านบาท (เติบโต 7%)
ศุภาลัย (SPALI): 30,836 ล้านบาท
เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC): 23,370 ล้านบาท (เติบโต 13%)
พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH): 22,357 ล้านบาท
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH): 18,966 ล้านบาท
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) (FPT): 10,019 ล้านบาท
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI): 8,840 ล้านบาท (ลดลง -24%)
ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QH): 7,619 ล้านบาท
พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (PF): 7,171 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ที่ได้ปูพรมพัฒนาโครงการ อสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย มาอย่างต่อเนื่อง เริ่มเก็บเกี่ยวผลตอบแทนอย่างงดงาม โดยในปี 2566 มี รายได้จากการขาย สูงถึง 5,835 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตถึง 103% จากปี 2565 ที่มี รายได้จากการขาย 2,870 ล้านบาท นับเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับกลยุทธ์การเติบโตของบริษัท
กำไรสุทธิ: มาตรวัดสุดท้ายของความสำเร็จ
แม้ว่าบริษัทใดจะสามารถทำ รายได้จากการขาย ได้มากเพียงใด หากมี กำไรสุทธิ น้อย ก็ย่อมไม่ถือเป็นผู้ชนะที่แท้จริง ในปี 2566 ทั้ง 41 บริษัท ทำ กำไรสุทธิ รวมกันได้ 44,165 ล้านบาท ซึ่งลดลง 11% จากปี 2565 ที่มี กำไรสุทธิ รวม 49,602 ล้านบาท ยิ่งไปกว่านั้น มีถึง 12 บริษัทที่ประสบภาวะขาดทุน และบางบริษัทขาดทุนต่อเนื่องมา 3-4 ปี ตั้งแต่ช่วงโควิด โดยกว่า 20 บริษัทจาก 41 แห่ง มี กำไรสุทธิ ลดลงจากปี 2565
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ผงาดผู้นำกำไรสุทธิ ด้วยปัจจัยเสริมพิเศษ
สำหรับ 10 อันดับแรกของบริษัท อสังหาริมทรัพย์ ที่สามารถทำ กำไรสุทธิ ได้สูงสุดในปี 2566 มีดังนี้:
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH): 7,495 ล้านบาท (แม้รายได้ลดลง แต่มีกำไร 2,500 ล้านบาทจากการขายโรงแรม 2 แห่งเข้ากองทุน)
ศุภาลัย (SPALI): 6,083 ล้านบาท
เอพี (ไทยแลนด์) (AP): 6,054 ล้านบาท
แสนสิริ (SIRI): 5,846 ล้านบาท (เติบโต 42%)
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI): 3,160 ล้านบาท (ลดลง -25%)
เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC): 2,525 ล้านบาท
ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH): 2,503 ล้านบาท
พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH): 2,339 ล้านบาท
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) (FPT): 1,865 ล้านบาท
เซ็นทรัลพัฒนา (CPN): 1,610 ล้านบาท (ประมาณการจากกำไรก่อนหักภาษี 1,975 ล้านบาท)
แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2567: ความท้าทายที่รออยู่
ข้อมูลผลประกอบการของบริษัท อสังหาริมทรัพย์ ที่ Property Mentor ได้รวบรวมมานี้ ชี้ให้เห็นถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมในปี 2566 ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย จากปัจจัยภายในและภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและแผนการลงทุนของผู้บริโภค
สำหรับปี 2567 นี้ คาดการณ์ว่าจะเป็นอีกปีที่ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ยังคงต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยหลักที่จะส่งผลต่อทิศทางตลาด ได้แก่:
ภาวะเศรษฐกิจมหภาค: อัตราเงินเฟ้อที่ยังคงทรงตัว, การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย, และความผันผวนของเศรษฐกิจโลก อาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
การเมืองและนโยบายภาครัฐ: เสถียรภาพทางการเมืองและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับภาค อสังหาริมทรัพย์ เช่น มาตรการกระตุ้นตลาด, อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ, และกฎหมายผังเมือง จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนตลาด
ดีมานด์ที่อยู่อาศัย: ความต้องการซื้อ บ้านเดี่ยว, คอนโดมิเนียม, และ ทาวน์เฮ้าส์ ยังคงมีอยู่ แต่พฤติกรรมของผู้บริโภคอาจเปลี่ยนแปลงไป โดยจะเน้นที่โครงการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตสมัยใหม่, ความคุ้มค่า, และทำเลที่ตั้งที่สะดวกสบาย
ซัพพลายคงค้าง: ปริมาณ อสังหาริมทรัพย์ ที่สร้างเสร็จแต่ยังขายไม่ได้ (Inventory) ในบางทำเล อาจเป็นแรงกดดันต่อราคาและการเปิดตัวโครงการใหม่
ในฐานะนักวิเคราะห์ อสังหาริมทรัพย์ ที่มีประสบการณ์ ผมมองว่าผู้ประกอบการที่สามารถปรับตัวได้ดีที่สุด จะเป็นผู้ที่สามารถเอาชนะความท้าทายเหล่านี้ได้ โดยอาจพิจารณาแนวทางดังนี้:
การบริหารต้นทุน: ควบคุมต้นทุนการก่อสร้างและต้นทุนทางการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไร
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์: สร้างสรรค์โครงการ บ้านพร้อมอยู่ หรือ คอนโดพร้อมโอน ที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายในปัจจุบัน เช่น พื้นที่ใช้สอยที่ยืดหยุ่น, เทคโนโลยี Smart Home, และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน
กลยุทธ์การตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย: ใช้ช่องทางการตลาดดิจิทัลที่หลากหลาย, การสร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจ, และการนำเสนอโปรโมชั่นที่คุ้มค่า เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคยุคใหม่
การบริหารความเสี่ยงทางการเงิน: การวางแผนกระแสเงินสดที่รัดกุม, การจัดการหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพ, และการแสวงหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลาย จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ
การมองหาโอกาสใหม่ๆ: การพิจารณาการลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า, อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์, หรือการพัฒนาโครงการในทำเลที่มีศักยภาพ อาจเป็นอีกทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงและสร้างการเติบโต
ปี 2567 จะเป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญสำหรับทุกบริษัทใน วงการอสังหาริมทรัพย์ ว่าใครคือผู้ที่มีวิสัยทัศน์, ความสามารถในการปรับตัว, และกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งพอที่จะก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งความท้าทายนี้ไปได้
หากคุณกำลังมองหาโอกาสในการลงทุน หรือต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขาย, การลงทุน, หรือการพัฒนาโครงการ บ้านหรู หรือ คอนโดราคาดี อย่าลังเลที่จะติดต่อเรา ผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมให้คำแนะนำและช่วยเหลือคุณเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนในโลกของ อสังหาริมทรัพย์
