บทสรุปภาพรวมอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทย ปี 2566: กลยุทธ์การรับมือความท้าทายและผู้ชนะที่แท้จริง
ปี 2566 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ถือเป็นบททดสอบครั้งสำคัญสำหรับแวดวง อสังหาริมทรัพย์ไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ การคาดการณ์ถึงโมเมนตัมเชิงบวกต่อเนื่องจากปี 2565 ที่มีสัญญาณของการฟื้นตัว กลับต้องเผชิญกับภาวะชะลอตัวที่ยืดเยื้อยาวนาน จากปัจจัยการเมืองในช่วงก่อนการเลือกตั้งใหญ่ และต่อเนื่องมาจนถึงช่วงปลายปี แม้แต่ในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งความคึกคักตามปกติ (High Season) ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ก็ยังไม่แสดงสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน ส่งผลให้บรรยากาศการซื้อขายและพัฒนาโครงการยังคงซบเซาต่อเนื่องจนเข้าสู่ปี 2567
ในฐานะผู้ที่มีประสบการณ์ในวงการ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มากว่าหนึ่งทศวรรษ ผมได้ติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดอย่างใกล้ชิด และเข้าใจถึงความซับซ้อนของปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จและล้มเหลวของธุรกิจในยุคปัจจุบัน Property Mentor ได้รวบรวมข้อมูลทางการเงินของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ 41 แห่งที่ทำการซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อวิเคราะห์ผลการดำเนินงานในปี 2566 อย่างละเอียด โดยมีเป้าหมายเพื่อประเมินว่าแต่ละบริษัทสามารถปรับตัวและรับมือกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ผันผวนนี้ได้อย่างไร และใครคือผู้ที่สามารถยืนหยัดเป็น “ผู้ชนะที่แท้จริง” ในสมรภูมิ อสังหาริมทรัพย์ประเทศไทย
ภาพรวมรายได้รวม: การชะลอตัวที่เกิดขึ้นจริง

จากการวิเคราะห์ข้อมูลของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 41 แห่ง พบว่า ในปี 2566 บริษัทเหล่านี้มีรายได้รวมกันทั้งสิ้นประมาณ 371,560 ล้านบาท ซึ่งลดลงเล็กน้อยราว 1.2% เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีรายได้รวม 376,141 ล้านบาท ตัวเลขนี้อาจดูไม่มากนัก แต่เมื่อพิจารณาเป็นรายบริษัท จะพบว่ามีถึง 25 จาก 41 บริษัท หรือคิดเป็นประมาณ 61% ที่มีรายได้รวมลดลงจากปีก่อนหน้า ซึ่งบ่งชี้ถึงสภาวะการชะลอตัวที่เกิดขึ้นในวงกว้าง
การปรับตัวและผลกระทบต่อรายได้: รายละเอียดที่น่าสนใจ
หลายบริษัทเผชิญกับการปรับตัวของรายได้ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของตลาด ได้แก่ L.P.N. Development (LPN), Eastern Star Real Estate (ESTAR) และ Country Group Development (CGD) ซึ่งมีรายได้รวมลดลงในอัตราที่สูงถึงประมาณ -28% นอกจากนี้ ยังมี Raimon Land (RML) ที่มีรายได้ลดลง -26%, Lalin Property (LPH) -23%, Major Development (MD) -22% และ Siamese Asset (SA) -21%
แม้แต่ยักษ์ใหญ่ในวงการอย่าง Land and Houses (LH) ก็ยังไม่พ้นจากภาวะนี้ โดยมีรายได้รวมติดลบถึง 18% และเป็นที่น่าสังเกตว่า ในกลุ่ม 10 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีรายได้รวมสูงสุดในปี 2566 ถึง 5 บริษัท มีรายได้รวมลดลงเมื่อเทียบกับปี 2565 นอกเหนือจาก Land and Houses แล้ว ยังมี AP (Thailand) (AP) ที่มีรายได้ลดลงเล็กน้อยไม่ถึง -1%, Supalai (SPALI) -10%, Pruksa Holding (PPH) -9% และ Origin Property (ORI) ที่มีรายได้รวมลดลงประมาณ -4%
การจัดอันดับรายได้รวม 10 อันดับแรก: แสนสิริ ผงาดขึ้นเป็นผู้นำ
สำหรับ 10 อันดับแรกของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีรายได้รวมสูงสุดในปี 2566 มีดังนี้:
แสนสิริ (SIRI): 39,082 ล้านบาท (เติบโต 12%)
เอพี (ไทยแลนด์) (AP): 38,399 ล้านบาท
ศุภาลัย (SPALI): 31,818 ล้านบาท
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH): 30,170 ล้านบาท
พฤกษา โฮลดิ้ง (PPH): 26,132 ล้านบาท
เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC): 24,487 ล้านบาท
ยูนิเวนเจอร์ (UV): 17,672 ล้านบาท
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) (FPT): 16,169 ล้านบาท
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI): 15,157 ล้านบาท
สิงห์ เอสเตท (S): 15,066 ล้านบาท
วิเคราะห์เชิงลึก: รายได้จากการขาย – ตัวชี้วัดที่แท้จริงของผลการดำเนินงาน
อย่างไรก็ตาม หากเราต้องการประเมินผลการดำเนินงานที่แท้จริงของบริษัท พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เราควรพิจารณาที่ “รายได้จากการขาย” เป็นหลัก เนื่องจากรายได้รวมของบางบริษัทอาจมาจากแหล่งอื่นที่นอกเหนือจากการขายโครงการ ซึ่งอาจไม่สะท้อนถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจหลักได้อย่างเต็มที่ การวิเคราะห์เฉพาะรายได้จากการขายจะช่วยให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
เมื่อรวมรายได้จากการขายของทั้ง 41 บริษัทในปี 2566 จะอยู่ที่ประมาณ 268,460 ล้านบาท ซึ่งลดลงประมาณ 11% เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีรายได้จากการขายรวมประมาณ 299,979 ล้านบาท ยิ่งไปกว่านั้น มีถึง 30 จาก 41 บริษัท หรือคิดเป็นประมาณ 73% ที่มีรายได้จากการขายลดลงจากปีก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายที่รุนแรงขึ้นในตลาด อสังหาริมทรัพย์กรุงเทพ และหัวเมืองหลัก
บริษัทที่เผชิญความท้าทายด้านรายได้จากการขาย:
ไรมอน แลนด์ (RML): มีรายได้จากการขายตกลงถึง -78%
แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN): รายได้จากการขายลดลงเกือบ -40%
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH): น่าตกใจที่รายได้จากการขายลดลงถึง -38%
เอพี (ไทยแลนด์) (AP): แม้จะเป็นเบอร์ 1 ในแง่รายได้จากการขาย แต่ก็ยังมีรายได้จากการขายลดลงเล็กน้อยที่ -2%
เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่ใช่แค่บริษัทขนาดใหญ่เท่านั้นที่มีรายได้จากการขายติดลบ แต่ในกลุ่ม 10 บริษัทที่มีรายได้จากการขายสูงสุด ยังมีถึง 8 บริษัทที่เผชิญกับรายได้จากการขายที่ลดลง
การจัดอันดับรายได้จากการขาย 10 อันดับแรก: AP (Thailand) ชิงบัลลังก์ผู้นำ
สำหรับ 10 อันดับแรกของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ทำรายได้จากการขายสูงสุดในปี 2566 มีดังนี้:
เอพี (ไทยแลนด์) (AP): 36,927 ล้านบาท
แสนสิริ (SIRI): 32,829 ล้านบาท (เติบโต 7% และเป็น 1 ใน 2 บริษัทที่มีรายได้จากการขายเติบโต)
ศุภาลัย (SPALI): 30,836 ล้านบาท
เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC): 23,370 ล้านบาท (เติบโต 13% และเป็นอีกบริษัทที่เติบโตในแดนบวก)
พฤกษา โฮลดิ้ง (PPH): 22,357 ล้านบาท
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH): 18,966 ล้านบาท (ยังคงอยู่ใน Top 10 แม้รายได้จากการขายจะลดลง)
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) (FPT): 10,019 ล้านบาท
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI): 8,840 ล้านบาท (แม้รายได้จะลดลง -24% แต่ยังคงอยู่ใน Top 10)
ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QH): 7,619 ล้านบาท
พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (PF): 7,171 ล้านบาท
ผู้มาแรงในตลาด: Central Pattana (CPN)
อีกหนึ่งบริษัทที่น่าจับตามองและมีผลงานโดดเด่นอย่างยิ่งในปี 2566 คือ Central Pattana (CPN) ซึ่งได้แสดงศักยภาพจากการพัฒนาโครงการ อสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ที่หลากหลาย การลงทุนเพื่อสร้างฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งกำลังเริ่มให้ผลตอบแทนที่งดงาม ในปี 2566 CPN สามารถสร้างรายได้จากการขายได้ถึง 5,835 ล้านบาท เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 103% จาก 2,870 ล้านบาทในปี 2565 การเติบโตนี้บ่งชี้ถึงความสำเร็จในการปรับกลยุทธ์และตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างตรงจุด
กำไรสุทธิ: บทพิสูจน์ความสามารถในการทำกำไรที่แท้จริง
เมื่อพิจารณาถึง “กำไรสุทธิ” ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสุดท้ายที่สะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรขององค์กรอย่างแท้จริง ในปี 2566 ทั้ง 41 บริษัท มีกำไรสุทธิรวมกันประมาณ 44,165 ล้านบาท ซึ่งลดลง -11% เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีกำไรสุทธิรวมประมาณ 49,602 ล้านบาท
สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงคือ มีมากกว่า 12 บริษัทที่ประสบปัญหาการขาดทุน ซึ่งบางบริษัทประสบปัญหาขาดทุนต่อเนื่องมา 3-4 ปี ตั้งแต่ช่วงการระบาดของโควิด-19 และยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ นอกจากนี้ กว่า 20 บริษัทจาก 41 แห่ง มีกำไรสุทธิลดลงจากปี 2565 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้จะสามารถสร้างรายได้ แต่ความสามารถในการทำกำไรก็ลดน้อยลงเช่นกัน
ผู้ชนะที่แท้จริงด้านกำไร: Land and Houses (LH) นำทัพ
สำหรับ 10 อันดับแรกของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถทำกำไรได้สูงสุดในปี 2566 มีดังนี้:
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH): 7,495 ล้านบาท (แม้รายได้รวมลดลง แต่กำไรสูงสุด โดยได้แรงหนุนจากการขายโรงแรม 2 แห่งเข้ากองทุน มูลค่า 2,500 ล้านบาท)
ศุภาลัย (SPALI): 6,083 ล้านบาท
เอพี (ไทยแลนด์) (AP): 6,054 ล้านบาท
แสนสิริ (SIRI): 5,846 ล้านบาท (เติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 42%)
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI): 3,160 ล้านบาท (แม้กำไรจะลดลง -25% จากปีก่อน)
เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC): 2,525 ล้านบาท
ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QH): 2,503 ล้านบาท
พฤกษา โฮลดิ้ง (PPH): 2,339 ล้านบาท
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) (FPT): 1,865 ล้านบาท
เซ็นทรัลพัฒนา (CPN): 1,610 ล้านบาท (ประมาณการจากกำไรก่อนหักภาษีเงินได้ 1,975 ล้านบาท)
แนวโน้มปี 2567: ความท้าทายที่ยังคงอยู่
ผลการดำเนินงานของบริษัท อสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ทั้ง 41 แห่ง ที่รวบรวมโดย Property Mentor ชี้ให้เห็นถึงภาพรวมที่ท้าทายของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2566 แม้จะมีบริษัทที่สามารถปรับตัวและรักษาความสามารถในการแข่งขันไว้ได้ แต่โดยรวมแล้ว ตลาดกำลังเผชิญกับแรงกดดันรอบด้าน
สำหรับปี 2567 คาดการณ์ว่าจะเป็นอีกปีที่ยากลำบากสำหรับวงการ อสังหาริมทรัพย์ ความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็ว การบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ การสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค และการวางกลยุทธ์ทางการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะชี้วัดความสำเร็จของแต่ละบริษัท
หากท่านเป็นนักลงทุน ผู้ประกอบการ หรือผู้ที่สนใจในตลาด อสังหาริมทรัพย์ ที่ต้องการข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำในการวางกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความผันผวนของตลาด ขอเชิญปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเรา เพื่อร่วมกันค้นหาโอกาสและสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของท่าน ท่ามกลางความท้าทายที่เรากำลังเผชิญอยู่.
